ที่มารูปภาพ http://board.palungjit.com
ดินฟ้าอากาศมืดมิดอยู่ถึง ๗ วัน ๗ คืน แผ่นดินก็ไหวสะท้านไม่ขาดสาย ปานประหนึ่งโลกพิภพจะถล่มทลายลงไปก็ว่าได้ ฝูงมนุษย์ที่ตั้งเคหสถานอยู่บนพื้นพิภพนี้ ก็ตัวสั่นงันงกด้วยความตกใจกลัวทั้งไม่ทราบเหตุผลกลการณ์เสียด้วย ว่ามันเกิดจากอะไรกันบ้างร้องไห้กันเซ็งแซ่ บ้างก็หลับตาภาวนา บนบานศาลกล่าวถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ให้มาช่วยปกปักรักษา บ้างก็เสพสุรายาเมากันงอมพระรามในทำนอง “เหล้าเข้าปากความยากก็หายไป” บ้างที่ยากไร้อนาถา ก็ฉกชิงวิ่งราวทรัพย์สมบัติของผู้อื่นกันชุลมุนวุ่นวาย เพราะนานทีปีละหน บ้างก็รำพึงกันว่า “โลกแตกแน่แล้ว ฉิบหายแน่แล้ว” พากันวิ่งวุ่นเป็นสิงคลี ทิ้งบ้านทิ้งเรือนและทรัพย์สมบัติ หนีเอาตัวรอดกันเป็นอลหม่าน ลูกเล็กเด็กแดงร้องไห้กันกระจองงอแง และพลัดพ่อพลัดแม่กันทั่วไป คนที่คอยระวังอยู่แล้วก็พากันหลบลี้หนีไปซุกซ่อนอยู่ซอกห้วยราวดอย และสวดมนต์ภาวนาแขม่วท้องหายใจรวยๆ แทบว่าชีวิตจะปลิดปลงด้วยความกลัวตาย
พวกวัดก็พลัดเข้าบ้าน พวกบ้านก็คลานเข้าวัด หลวงชีก็หนีหลวงเถร ไม่ว่าเณรเผ่นตามกันไป พวกเหนือก็เฝือลงใต้ พวกใต้ก็ไหลขึ้นเหนือ ตะวันตกก็หกไปตะวันออก ตะวันออกก็ลอกไปตะวันตก เสียงปืนใหญ่และลูกระเบิดดังอยู่ไม่ขาดสาย ฝูงมนุษย์ต้องจุดไต้ตามกันตลอด ๗ วัน ๗ คืน พอถึงวันคำรบ ๘ ซึ่งเป็นวันรุ่งสางสว่างแจ้ง ฝูงมนุษย์ที่เหลือจากความตายด้วยภัยสงคราม ก็พากันร้องไห้ระงมถมทึกแทบว่าจะไม่เป็นเสียงมนุษย์ เพราะจะมองไปทางใดก็พบแต่ซากศพของคนตาย เช่น ลูกตายพลัดพ่อแม่ พ่อแม่พลัดลูก ผัวตายพลัดเมีย เมียตายพลัดผัว ญาติมิตรที่ต้องตายพลัดตายพรากจากกัน เหลือที่จะนับคณนา เพราะวันตัดสินโลก ได้ผ่านไปแล้วพร้อมกับมนุษย์ที่ชั่วร้าย คงเหลือแต่มวลมนุษย์ที่เชื่อในคำสั่งสอนของพระศาสนา ซึ่งมีภาวนาเพื่ออยู่สืบโลกและศาสนาต่อไป
ในวันที่รุ่งแจ้ง ซึ่งความมืดได้ฉุดกระชากกลากพาเอาวิญญาณร้ายผ่านไปแล้วนั้น กองทัพอากาศของพระศรีอาริย์บรมจักรพร้อมด้วยเทพเจ้าบนสวรรค์ ก็เคลื่อนขบวนเวชยัตตรถทิพย์เลื่อนลอยไปโดยทางนภากาศเวหา เพลงสวรรค์ ซึ่งคนธรรพ์ทั้งหลายอันมีปัญจสิกขคนธรรพ์เทพบุตรเป็นหัวหน้า ก็ดีดสีตีเป่าสะท้านหวั่นไหวพร้อมกับกองทัพนั้นด้วย ฝูงเทพเจ้าทั้งหลายก็โปรยข้าวตอกอกไม้ทิพย์ เกลื่อนกลาดไปทั่วแผ่นดินที่ผ่านไปครั้นแล้วกองทัพพระศรีอาริย์ ก็หยุดลอยอยู่เหนือดอยสุวรรณคีรี ซึ่งกองทัพมนุษย์กำลังพิฆาตฆ่าฟันกันตายเหมือนใบไม้ร่วง เมื่อกองทัพเหล่านั้นได้ยินเสียงอึกทึกโกลาหลอยู่เบื้องนภากาศ และร้อนรุ่มกลุ้มใจไปด้วยไฟพิษ ซึ่งหมู่มวลนาคราชได้พ่นออกจากปาก เป็นประกายอยู่ทั่วไป ทางเบื้องซ้ายก็กัมปนาทหวาดหวั่นไหวด้วยแสงอาวุธของมวลยักษ์ ตะบองใหญ่เท่าลำต้นตาลก็กวัดแกว่งเป็นเปลวไฟ ทหารที่ทนได้ก็ทนไป ที่ทนไม่ได้ก็ล้มสลบลงไปด้วยความร้อน สุดที่จะทนทานอิทธิฤทธิ์ของทหารผีกระทำปาฏิหาริย์อยู่ครู่เดียว ทหารมนุษย์ก็กลิ้งทูตระเนระนาดตามกันลงไป ร่างกายสั่นเทาเหมือนผีสิงสิ้นหมดทั้งกองทัพ พลันก็มีเสียงคำรามลั่นลงมาจากฟากฟ้า แทบว่าแก้วจะแตกตาย
“อะโห! มาริสสา – มาริสสา ดูก่อนทะแกล้วทหารผู้ใจปาบหยาบช้าทั้งหลาย! พวกสูจะมารบราฆ่าฟันกันตาย ด้วยเหตุผลกลใด? ขุมทรัพย์อันใหญ่หลวงที่เกิดขึ้นนี้ หาใช่เป็นสมบัติของพวกสูทั้งหลายหรือของผู้ใดไม่ดอก! หากเป็นสมบัติของพระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์ในรถนี้ ซึ่งจะมาดำรงตำแหน่งบรมจักรอันประเสริฐ เพื่อจรรโลงโลกไปสู่สันติสุขและสันติภาพอันเที่ยงแท้! เลิกรบ-เลิกรบกัน เลิกรบกัน....” พระอิศวรผู้เป็นเจ้า ได้สำแดงเสียงอยู่บนศรีษะทหารมนุษย์อย่างเอาเป็นเอาตาย แล้วเปล่งสิงหนาทสืบต่อไปว่า:-
“วันตัดสินโลกได้เริ่มมาถึง ๗ วัน แล้ว วันนี้เป็นวันคำรบ ๘ โลกสว่างแล้ว! สงครามครั้งสุดท้ายได้เสร็จสิ้นไปแล้ว คนบาปทั้งหลายได้ถูกความมืดกลืนกินไปหมดแล้ว นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ดูข้าจะสร้างอาณาจักรสัมมาทิฏฐิให้พวกสูทั้งหลายอยู่ดีกินดีกันทั่วไป”
พระอิศวรเจ้าฟ้าตะคอกขู่จู่โจม เสียงนั้นสะท้านเหมือนฟ้าผ่าได้ยินตลอดไปทั่วทั้งกองทัพ แม้พวกจอมทัพ จอมขุนศึกทั้งหลายก็พากันตกใจเหมือนหัวจะแตกลง ในยามนั้นพญาลายตีนเป็นกงจักร พญาแขนสั้นยาว พญาลิ้นกาฬ ฯลฯ ต่างก็พากันส่งสัญญาณ ให้กองทัพของตนเองถอนกลับสู่บ้านเมืองสิ้นด้วยกัน ครั้นแล้วพระอิศวรเป็นเจ้า ก็บันดาลฝนห่าใหญ่ ตกลงมาถึง ๗ วัน ๗ คืนท่วมทันซากศพเหล่านั้น ลอยไปลงทะเลจนหมดสิ้น คงเหลือแต่พื้นดินเป็นปกติ อนึ่ง ก็เป็นธรรมดาสงครามที่ล้างโลก จะต้องบังเกิดมรสุมทำลายเความชั่วช้าเลวทรามของมนุษย์ที่กระทำขึ้น แล้วฝูงมนุษย์ก็จะต้องเป็นทายาทรับกรรมนั้นๆ หาใช่ผู้ใดหรือพระเจ้าองค์ใดมากระทำให้ไม่ ก็เมื่อมนุษย์พากันฝ่าฝืนคำสอนของพระเจ้า และกระทำกรรมอันชั่วช้าเลวทรามถึงเพียงนี้ผลกรรมก็ย่อมตามสนอง กล่าวคือ บังเกิดการรบราฆ่าฟันกันตายวายวอด ซึ่งพากันเรียกร้องให้พระเจ้ามาช่วยรับบาปนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะพระเจ้าหาใช่ทาสของมนุษย์ดังที่บางคนเข้าใจกัน
พระศรีอาริย์ห้ามทัพตะวันออกเฉียงใต้ ตำนานพุกามทำนายว่าเมื่อปรากฏแล้ว พระศรีอาริย์ธรรมมิกราช พร้อมด้วยพระอิศวรเป็นเจ้าจะเสด็จไปห้ามทัพตะวันออกถึง ๒ ครั้ง ไปโดยทางฟ้าและกองทัพฟ้าของเทวดาเป็นหมู่รี้พล
นักจิตศาสตร์ไม่เคยเป็นชาวตะวันตก เป็นความจริง ๑๐๐% ที่ไม่เคยมีนักจิตขนาดจอมศาสนาจะเกิดเป็นชาวตะวันตก พระพุทธเจ้า, พระเยซู, พระมะหะหมัด, และอื่นๆ ก็เป็นชาวตะวันออกด้วยกันทั้งสิ้น ชาวตะวันตกต้องหันมาเคารพศาสนาธรรมของชาวตะวันออก ตลอดพงศาวดารโลก ฉะนั้น จ้าวโลกในอนาคตก็ต้องเป็นชาวตะวันออกตามเคยอีก.....
ที่มา http://www.phrasiarn.com/?topic=5734.0;wap2
ที่มา http://board.palungjit.com
เตือนภัยพิบัติโลก
"กมฺมุนา วตฺตตี โลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม"
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับภัยพิบัติ