/*----Yahoo site map-------*/ /*----Bing site map-------*/

ค้นหาอะไรก็เจอ

วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ฝากเตือนภัยพิบัติโลก (หลวงปู่ภารตะบัวขาว)

     วันนี้ผมขอเอาคลิปวีดีโอจาก Youtube มาแบ่งปันแก่สมาชิกของบล็อกเตือนภัยพิบัติโลก ซึ่งมีชื่อคลิปวีดีโอว่า
 "ฝากเตือนภัยพิบัติโลก (บัวขาว)" เป็นคลิปวีดีโอที่บอกเตือนภัยพิบัติโลก ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้
จากหลวงปู่เทพโลกอุดร ที่ได้ฝากเตือนมายัง หลวงปู่ภารตะฤาษี(บัวขาว) อยากจะให้ทุกคนควรพิจารณา หรือฟังด้วยสติ
ก็จะเข้าใจว่า สิ่งที่ได้ดูหรือคำได้กล่าวเอาไว้จากคลิปวีดีโอนี้ จะเกิดขึ้นจริง หรือว่าจะะเป็นจริงหรือไม่ ถ้าเกิดขึ้นจริง เราจะต้องเตรียมตัว เตรียมกาย เตรียมใจ อย่างไร เตรียมตัวรับมือกับภัยพิบัติเหล่านี้ อย่างไร ซึ่งผมก็เชื่อว่า ณ เวลานี้สัญญาณทั้งหลายเหล่านั้น ก็ได้เริ่มเกิดขึ้น หรือปรากฏให้เราได้เห็นเป็นประจักษ์พยานแล้ว อยู่ในขณะนี้...จงเตรียมตัวให้พร้อม


วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดปี 2555 ต่อปี 2556

ภัยพิบัติจากน้ำท่วม
ภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดปี 2555 ต่อปี 2556

คำเตือนจาก ปู่อินทร์ตาทิพย์ อายุ 109 ปี ณ เขาตำแย (เตือนเมื่อ 2553)

ปู่บอกว่าภัยพิบัติจะเกิดตามหนังสือพุทธทำนายไว้จะแรงบ้างหรือเบาบ้างขึ้นอยู่กับว่าครูบาอาจารย์ได้ช่วยไว้หรือไม่ แต่ปลายปี 2555 ต่อเนื่องปี 2556 เหตุการณ์จะรุนแรงมาก ด้วยเหตุ3อย่างหรืออย่างใดอย่างหนึ่ง

ประการแรก บ้านเมืองจะลุกเป็นไฟ หาก..... ละสังขาร ประการสอง พายุจะถล่มเมืองไทย และที่อื่นๆ ประการสามน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่สุดในโลก หลายๆประเทศจะต้องเกิดเหมือนกัน จะรุนแรงไปเรื่อยๆ ผู้คนจะตายมากเป็นประวัติการณ์ ผู้คนจะเหลือแค่ 30%ของประชากรที่นั้นๆ

ปัจจุบันนี้ผู้คนไม่มีศีลธรรม ไม่ละอายแก่บาป เบียดเบียนซึ่งกันและกัน ไม่ใช่กรรมของใครๆ แต่นี่คือวัฎรจักรของโลก บ้านเมืองเจริญขึ้น แต่จิตใจมนุษย์เจริญลง ยิ่งการสมสู่มนุษย์ต่อกันเดียวนี้ไม่มีเลือกผัวเลือกเมียหรือลูกหลาน นี่แหละกลียุคตามคำทำนายขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าพุทธโคดม

เหตุดังกล่าวจะเบาลงและสิ้นสุดปี2560 ผู้คนที่รอดพ้นจากภัยพิภัย คือผู้ที่ดำรงชีวิตอยู่ในศีลธรรม กตัญญูต่อบิดามารดา ละอายแก่บาป จงเป็นผู้รู้ในกิเลส และผู้ตื่นจากกิเลส สุดท้ายก็ไกลจากกิเลส


(ส่วนเส้นทางหลบหนีปู่บอกว่าผู้คนจะหนีมุ่งหน้าไปทางถนนมิตรภาพ และรถจะติดมากผู้คนต่างแย่งกันกุลาหนน่าดู และสุดท้ายหางแถวจะหนีไม่รอดนั้นเอง สระบุรีตั้งที่องค์พระนั่งสูง ตรงนั้นแผ่นดินจะยุบตัวลง เพราะข้างล่างเป็นบ่อน้ำใต้บาดาล ส่วนถนนที่พอจะรอดก็คือ กบินทร์-นครราชสีมา,นครนายก หรือเส้นทางอื่นๆที่ไม่ใช่มิตรภาพ แต่ส่วนมากผู้คนจะเลือกเส้นทางมิตรภาพมากเพราะไปได้ทั้งเหนือและอีสาน ขอเตือนไม่จำเป็นจะต้องไปอีสานอย่างเดียวนะครับ ภาคเหนือก็ไปได้)

อ้างอิง
http://board.palungjit.com/f178/ภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดปี2555ต่อปี2556-223319.html

สงครามโลกครั้งที่ 3 หายนะล้างโลก ด้วยน้ำมือมนุษย์ด้วยกันเอง

0 ความคิดเห็น

สงครามโลก
 สงครามโลกครั้งที่ 3 หายนะล้างโลก ด้วยน้ำมือมนุษย์ด้วยกันเอง โดยคุณwitt แห่งเว็บพุทธภูมิ


เรื่องราวเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 3 นี้ได้มาจาการที่ผมได้เคยพูดคุยกับหลายท่านมาในระดับหนึ่ง และเล็งเห็นว่าสงครามเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อต้องการอำนาจ เงินตรา ทรัพยากรทางธรรมชาติในส่วนที่ตนไม่มี ในส่วนที่เอามาลงในนี้ถือว่าเป็นส่วนที่ข้าพเจ้าได้รวมรวมข้อมูลมา และสรุปเองโดยคร่าวๆ รายละเอียดมีตามนี้ครับ

สงครามล้างโลก

โลก จะเกิดภัยพิบัติด้วยน้ำมือของเหล่ามวลมนุษย์ ทุกชีวิตจะล้มตาย ส่วนที่เหลือ จะได้รับความลำบากทุกข์ยาก อย่างแสนเข็น ขาดแคลนทั้งเสบียง อาหาร น้ำดื่ม มนุษย์จะฆ่ากันเอง จงจัดเตรียมเสบียง อาหารน้ำดื่มไว้ให้พร้อมเพื่อรองรับสถานการณ์ ที่เกิดขึ้น

สงคราม จะเริ่มก่อตัวขึ้นแถว อเมริกาเหนือ จะลามออกมาทางฝั่งตะวันออก จะมีสามผ่ายหลักใหญ่ ได้แก่ อเมริกา จีน อินเดีย เพื่อแย่งชิง อำนาจเหนืออธิปไตรประเทศอื่น สงครามจะดำเนินต่อเนื่อง 7 เดือน ถึง 1 ปี 6 เดือน และจบลงด้วยระเบิดนิวเคลียร์ขนาดใหญ่ที่สามารถล้มล้างประเทศใด ประเทศหนึ่ง ให้หายออกไปจากโลกใบนี้ได้

อเมริกา ล่มสลายประเทศต่างๆก็ได้รับบาดเจ็บ บอบช้ำไปตามๆกัน คนที่ตายก็ตายไป ส่วนคนที่อยู่จะได้รับความทุกข์ยากลำบาก แต่ผลที่ตามมานั้นร้ายแรงกว่าที่คิด ประชาชนต้องบ้านแตกสาแหรกขาด พลัดพรากจากครอบครัวแหล่งน้ำตามธรรมชาติจะใช้ไม่ได้เพราะเจือปนด้วยสารเคมี ข้าวจะหายาก หมากจะราคาแพง ต้องดิ้นรนสุดชีวิต โจรผู้ร้ายก็ชุกชุมเพราะความอดอยาก โรคระบาดจะคอยซ้ำเติม ช่วงเวลาที่ทรมานอย่างนรกนี้จะกินเวลาประมาณ 5 ปี จึงจะค่อยเริ่มฟื้นตัว เทคโนโลยีที่มีอยู่จะได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็ว สันติภาพจะเกิดขึ้น

สาเหตุของสงคราม

ตาม ที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าสงครามมิใช่สิ่งที่ดีนอกจากการสูญเสียกำลังทรัพย์ สินเงินทอง เลือดเนื้อ ชีวิต นับพันนับหมื่นคน แต่ทำไมคนเราถึงยังก่อสงครามกันอยู่ได้ เนื่องมาจากความโลภโมโทสัน อยากมีอยากได้ นี้เป็นสาเหตุหลัก สงครามมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ เพราะความอยากได้ในสิ่งที่ตนไม่มี ไม่พอใจในสิ่งที่ตนมี มีการยกทัพเพื่อแย่งชิงดินแดนอาณาเขตเพื่อขยายอาณาจักรของตนเอง ถ้าอีกฝ่ายยอมก็ไม่มีการเกิดสงครามแต่ต้องยอมอยู่ภายใต้อำนาจกดขี่ข่มแหงของ ผู้อื่น ซึ่งการยอมอยู่ใต้ผู้อื่นย่อมไม่มีทางที่จะยอมได้ง่ายๆ

สาเหตุ หลักของการเกิดสงคราม โลกครั้งที่ 3 เนื่องจากสาเหตุขัดประโยชน์กันเอง ไม่มีใครยอมใครต่างถือว่าตนใหญ่จะเอาให้ได้ ไม่ได้ไม่ยอม จากเรื่องระหว่าง สองประเทศจะลามไปเรื่อยๆเหมือนไฟลามทุ่ง คือ ขยายวงกว้างออกไปอย่างรวดเร็วๆ ครอบคลุมโลกใบนี้

ผลกระทบระดับโลก

พื้นที่ หลายส่วนจะถูกลบทิ้งออกจากแผนที่โลก บางแห่งอาจจะหายไปทั้งประชากรและแผ่นดิน สิ่งที่ไม่น่าเกิดก็จะเกิดขึ้น รวมถึงภัยพิบัติต่างๆตามธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

จำนวน ประชากรโลกจะถูกลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้น แผนที่โลกจะมีการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ ในขณะที่สัตว์ชนิดต่างๆพยายามปรับตัวให้เข้ากับสภาวะเลวร้าย จะเกิดเหตุการณ์คนกินคน สัตว์กินคน เพราะความหิว กระหาย

สาร เคมีพวกกัมมันตภาพรังสี ที่แพร่ไปทั่วโลก จะมีผลทำให้มนุษย์ เป็นโรคผิวหนัง อย่างรุนแรง ต้นไม้จะเหี่ยวเฉาเพราะปรับสภาพไม่ทัน เสียงคนที่ได้รับความทุกข์ทรมานจะมีอยู่ทั่วไปหมด คนพิการจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นคนที่แขนขาสมบูรณ์น้อยลง

ช่วงก่อนสงคราม

ช่วง ก่อนที่จะเกิดสงครามอาหารการกินทั่วโลกจะอุดมสมบูรณ์ แม้ว่าราคาสินค้าอาจจะแพงอยู่บ้างแต่สามารถหาซื้อหากินได้โดยทั่วไปแล้ว ประชาชนจะอยู่ดีมีความสุข ไม่นึกถึงภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้นจึงไม่มีการกักตุนสินค้า

ข้าว สาร อาหารแห้ง เกลือ และ น้ำ เป็นสิ่งจำเป็นและต้องเตรียมสำรองในปริมาณที่มากและเพียงพอในถาวะวิกฤตช่วง ต้นของสงคราม ราคาสินค้าอาหารจะทยอยเริ่มขึ้นราคา คนที่พอมีเงินจะสามารถซื้อ ข้าวปลาอาหารไว้ได้อย่างเพียงพอ คนที่ไม่มีเงินทองก็จะอดตาย ถือเป็นการล้างโลกทางอ้อมอีกทางหนึ่ง

สงคราม จะเริ่มจากฝั่งตะวันตกและจะลามมาทางตะวันออก รวมถึงประเทศไทย ในช่วงสงครามเริ่มก่อตัวประชาชนทั่วไปจะไม่ค่อยรู้สึกสักเท่าไหร่ เพราะจะเป็นเหมือนสงครามปรกติ ที่เกิดขึ้นทั่วไป แต่สินค้าทางการเกษตรจะมีราคาสูงขึ้น เนื่องจาก สภาวะสงคราม

ช่วงต้นและกลางของสงคราม

ช่วง แรกสงครามจะเริ่มก่อตัวขึ้นบริเวณแถบยุโรบอเมริกา ช่วงแรกจะจำกัดพื้นที่ในบริเวณนั้นประมาณ 5 เดือน ในช่วงนี้จะมีการหาสมัครพรรคพวกและอาศัยประเทศข้างเคียงเป็นสนามรบ ประชาชนแถบยุโรบ จะเดือนร้อนกันไปทั่ว ประเทศไทยยังไม่มีที่ท่าที่แน่นอนยังแค่ประกาศให้ความช่วยเหลือทั้งสองผ่าย ต่างคนต่างต้องการให้สงครามสงบโดยเร็ว แต่ประเทศมหาอำนาจไม่ยอมให้สงบเร็วเนื่องจาก กลัวว่าจะเจอภัยทั้งทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจ ซึ้งหมายถึงจะหมดอำนาจที่จะครองโลก

หลัง จากช่วง 5 เดือนแรก ต่างผ่ายก็ได้รับความเสียหายอย่างใหญ่หลวง และต่างก็เหนื่อยล้าเต็มทีที่ต้องรบ แต่ว่าผลกระทบจากสงคราม คือ สงครามไม่ได้เจาะจงเฉพาะ เพียงแค่ ไม่กี่ประเทศ แต่ว่าสงครามจะกระจายตัวเองไปทั่วและลามมาฝั่งเอเชียตะวันออกช่วงนี้จะกิน เวลาประมาณ 4-5 เดือน การสู้รบจะดุเดือดขึ้น ประเทศที่มีหัวรบ จรวดนิวเคลียร์ จะเตรียบหัวรบเพื่อเล็งไปยังประเทศที่เป็นศัตรู จะยังไม่มีการยิงระเบิดนิวเคลียร์ จะอยู่ในสภาพพร้อมยิง จะเป็นการเตือนและข่มขู่กันขั้นสุดท้าย

ช่วงปลายสงคราม

ช่วง นี้เป็นช่วงที่ต่อสู้กันอย่างดุเดือดมากทหารประชาชนล้มตายกันมาก แทบจะล้างโลกเลยก็ว่าได้ ประเทศที่อ่อนแอ จะถูกควบคุมโดยประเทศมหาอำนาจเพื่อประโยชน์ทางการทหาร และทางเศรษฐกิจ ความเสียหายที่เกิดขึ้นก่อนหน้าทีก็ยังตามมาส่งผลตามมาเรื่อยๆ ประชาชนต้องบ้านแตกสาแหรกขาด พลัดพรากจากัน ช่วงนี้แหละจะเป็นช่วง ขาดแคลนเสบียง อาหารเหลือน้อยไม่พอบริโภค เพราะผลผลิตที่ได้มามีปริมาณที่น้อยเมื่อเทียบกับความต้องการของมนุษย์ แม้ว่าประชากรโลกจะลดลงไปเยอะก็ตาม แหล่งผลิตอาหารจะหมดไม่ไปเพราะไม่มีคนที่จะผลิตอาหาร

ช่วง นี้จะกินเวลาประมาณ 3- 5 เดือน จำนวนยอดผู้เสียชีวิตเข้าสู่หลักล้าน ระเบิดนิวเคลียร์จะถูกปล่อยออกมาเพื่อโจมตีไปยังหัวใจของผ่ายข้าศึก เพื่อชัยชนะ ต่างผ่ายก็ปล่อยออกมาลูกแล้วลูกเล่า เพื่อกำจัดศัตรูทางการทหารให้หมดไปแต่ผลที่ได้รับคือ ต่างผ่ายต่างก็ได้รับความเสียหาย บ้านเมืองพังพินาศ จะเหลือที่ดีๆ ก็มีอยู่ส่วนน้อย เต็มทีและมีแต่ซากปรักหักพัง

ผล ของนิวเคลียร์จะทำให้ อากาศ อาหาร และน้ำดื่ม ปนเปื้อนไปด้วยสารเคมี ทั้งสัตว์ทั้งมนุษย์ จะตายอย่างอเนจอนาถ ส่วนที่รอดและได้รับสารเคมีอย่างแรงจะเป็นโรคผิวหนัง เนื้อจะตายและเน่าได้รับความทรมานอย่างยิ่ง ส่วนคนที่ได้รับสารแคมีอย่างกลาง ผิวหนัง พุผองและเนื้อจะค่อยๆตายอย่างช้าๆทรมานแสนสาหัสถ้าจะรอดก็คงต้องอยู่อย่างคน พิการ ส่วนคนที่ได้รับสารเคมีอย่างอ่อน จะเกิดอาการระคายเคือง รักษา ให้หายด้วยความยากลำบากเพราะขาดแคลน ยา และเครื่องมือ ส่วนคนที่ไม่ได้รับสารเคมีถือว่าโชคดีไม่ได้รับสารเคมี แต่ก็ได้รับความกระทบกระเทือน จากผลของสงคราม

เมื่อ ระเบิดนิวเคลียร์ถูกใช้หมดไป ต่างฝ่ายต่างก็ประเมิน สถานการณ์ บางผ่ายก็ยอมแพ้ บางผ่ายก็ดีใจที่ตัวเองชนะแต่ในที่สุดไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไรเกิดขึ้น ต่างก็เจรจายุติศึก สูญเสียเงินทอง ชีวิต ที่ไม่สามารถประมาณได้

สภาวะหลังสงคราม

หลัง จากสงครามเสร็จสิ้นต่างฝ่ายต่างพยายามฟื้นฟูสภาพประเทศของตัวเอง ถึงแม้ว่าจะได้รับความเสียหายอย่างยับเยิน ประเทศไทยก็ได้รับความเสียหายไม่น้อยแต่สามารถเอาตัวรอดจากสภาพวิกฤตได้ดี ถึงแม้จะไม่เป็นเมืองขึ้นของใครก็ตาม แต่ก็ถูกพวกต่างชาติบีบบังคับต่างๆนานา ส่วนสภาพบ้านเมืองเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง ความอดยากของประชาชน ชุมนุมโจรมีมากขึ้นคอยปล้นสะดมชาวบ้าน ไม่รู้จักทำมาหากิน แต่พวกนี้จะหมดไป เพราะทางการสามารถปราบปรามได้สำเร็จ ตรงนี้จะเป็นยุคทองของประเทศไทย สมกับชื่อที่ว่าสุวรรณภูมิ แดนศรีวิไลใต้ดินจะมีน้ำมัน อัญมณี สารแร่ต่างๆ เศรษฐกิจจะเจริญก้าวหน้า

ในช่วง 5 ปีแรกของการฟื้นฟูประเทศ เรียกว่าช่วงลำบาก เพราะมีหลายเรื่องที่ต้องทำ ทั้งการวางระบบสาธารณูปโภคใหม่หมด การพัฒนาทางด้านการศึกษา การเกษตร เพื่อให้บ้านเมืองคืนสู่สภาวะปรกติให้เร็วที่สุดถึงแม้ว่าราคาสินค้า จะค่อนข้างสูง แต่ราคาก็จะไม่แพงมากจนเกินไป

หลัง จากช่วง 5 ปี สภาวการณ์กับสู่สภาพปรกติ แต่ยังเหลือรอยคราบแห่งอดีตของสงครามโลกครั้งที่ 3 ความโศกเศร้าอาลัยต่อผู้ที่เสียชีวิต พิการ แม้แต่ขาดแคลนที่พักอาศัย อาหาร น้ำดื่ม ยารักษาโรค รวมทั้งเครื่องนุ่งห่ม

การเตรียมพร้อมรับมือ สงครามโลก

ช่วง แรกให้แรกให้เริ่มกักตุนสินค้าอุปโภคปริโภคให้มากที่สุด เพราะจำเป็นต้องใช้ในช่วงสุดท้ายของสงคราม และช่วงแรกของสงครามสงบ จะเป็นช่วงที่อดอยาก และขาดแครนอาหาร เพราะสารเคมีชนิดต่างๆกระจายไปทั่ว เจือปนทั้งในน้ำดื่มและอาหาร แหล่งน้ำธรรมชาติ แทบไม่มีประโยชน์เพราะสารพิษเจือปนเยอะ

ผลกระทบที่มีต่อประเทศไทย

ประเทศ ไทยจะได้รับผลกระทบกระเทือนน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่น แต่พื้นที่บางส่วนจะหายไปข้าวจะหายาก หมากก็จะราคาแพง ต้องกินอย่างประหยัด อดมื้อกินมื้อ ชุมนุมโจรต่างๆเกิดขึ้น เพื่อปล้นแย่งเสบียงของชาวบ้าน จะเดือดร้อนกันไปทุกหย่อมหญ้า

ภาครัฐ จะเร่งปราบปรามชุมนุมโจรต่างๆ พื้นฟูเศรษฐกิจ พัฒนาบุคลากรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากประชากรลดน้อยลงและขาดแคลนทัพยากรบุคคล การกำจัดสารเคมีในอากาศหรือฝนเหลือง เป็นไปได้ยากเนื่องมาจากรัฐไม่ได้มีการเตรียมการไว้ และไม่มีความพร้อมในการดำเนินงาน ประเทศไทยจะใช้เวลาถึง 5 ปี เพื่อการพื้นตัวแต่จะเร็วกว่าประเทศอื่น แต่ต้องอาศัยความสามัคคีภายในประเทศเป็นหลัก

โรค ระบาดจะมีมาเรื่อยๆ แต่พอสามารถควบคุมได้ คนตายด้วยโรคระบาดก็เยอะ หยูกยาจะหายากเพราะคนใช้เยอะ และขาดแคลน ของที่มีก็พอจะประทังชีวิตไปได้บ้าง จนรอดพ้นจากความอดอยาก คนที่ทนได้ผ่านพ้นช่วงนี้ไปได้ จะมีชีวิตที่ดีขึ้น ส่วนใครที่ตายในช่วงนี้ถือว่าไม่ต้องทรมานมาก

แหล่งที่มาhttp://www.buddhabhumi.info/wm_talk/ww3/ww3.html

หยุดสึนามิด้วยฝ่ามือ (คัดลอกจากนิตยสารโลกลี้ลับ)

0 ความคิดเห็น

หยุดสึนามิด้วยฝ่ามือ
 "หยุดสึนามิด้วยฝ่ามือ"(คัดลอกจากนิตยสารโลกลี้ลับ)

ปลายปีพ.ศ. 2547 จนถึงปลายปี พ.ศ.2549 จะเป็นช่วงวิบากกรรมของประเทศไทย โดยเริ่มจาก สึนามิลูกแรก เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 ทำให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ตามขอบ อ่าวเบงกอล และทะเลอันดามัน ตามที่เป็นข่าวโศกนาฏกรรมดังไปทั่วโลก ตามมาด้วย ตึกยุบ และรถไฟฟ้าใต้ดินชนกัน อย่างไร ก็ตามจาก การมองเห็นอนาคตด้วยจิตและคำยืนยันของมนุษย์ต่างดาว ที่ได้เชิญมาสนทนากัน มีคนมาร่วมฟังและช่วยกันซักถามเกือบ 10 คน ได้แนวโน้มว่า ในระยะอันใกล้นี้จะเกิดภัยพิบัติทางน้ำอย่างน้อยอีก 2 ครั้ง ครั้งที่หนึ่งจะเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ในทะเลอันดามันอีกครั้ง จุดศูนย์กลางการไหวจะเคลื่อนไปทางเหนือของครั้งที่แล้ว จะเป็นผลให้เกิดภัยพิบัติแก่ฝั่งทะเลของประเทศพม่า กับบังคลาเทศมากที่สุด ประเทศอินเดีย ศรีลังกา ไทย มาเลเซีย จะเสียหายมากน้อยตามลำดับ ประเทศไทยนั้นแนวชายฝั่งจะเฉียงและขนานกับแนวคลื่น ความรุนแรงจึงไม่มากเท่าครั้งแรก เพราะไม่ได้ชนโดยตรง แนวโนมว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้ภายในเดือน กุมภาพันธ์ 2548

ในประเทศไทยมีรอยแตกแยกใต้ทะเลมาถึงจังหวัดระนอง และมีรอยเลื่อนขึ้นไปทางทิศเหนือ จะผ่านขึ้นไปถึงเชียงราย แพร่ น่านตลอดรอยเลื่อน มีเขื่อนใหญ่ในเขตเมืองกาญจนบุรีอยู่สองเขื่อนที่น่าจะจับตาระวังเป็น พิเศษ(ขอแทรกนิดนึงว่าเขื่อนที่ว่านี้ผู้พิมพ์มีญาติเปิดร้านอาหารอยู่ที่ อำเภอท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ขอเรียกว่าอาตุ๊ อาตุ๊บอกกับข้าพเจ้าว่า รถสิบล้อมันขนปูนไปที่เขื่อนเขาแหลม กับเขื่อน ศรีนครินทร์ กันเป็นร้อยคัน มันบอกว่าเอาปูนไปยิงเขื่อนเพราะมีรอยแตกเยอะมาก บางคนไม่ได้กลับบ้านเลยตลอดสัปดาห์ อันนี้ขอยืนยันว่าจริง แต่ทางราชการบอกว่าไม่แตก ไม่มีรอยร้าว มันตอแหล) ภัยพิบัติลำดับต่อมาคือ จะเกิดทางน้ำอีกเช่นกัน ในอ่าวไทย เนื่องจากการแตกและยุบของพื้นทะเล ด้วยสาเหตุที่โครงสร้างใต้พื้นมีการเปลี่ยนแปลงจากแผ่นดินไหว 2 ครั้งก่อนหน้านั้นกอร์ปกับการเกิดโพรงและความดันตก เนื่องจากมีการสูบแก๊สธรรมชาติมาใช้เฉลี่ยวันละ 40-45 ล้านลูกบาศ์กฟุตมาเป็นเวลา 25 ปี และเนื่องจากระดับความลึกของทะเลในอ่าวไทยตอนบนค่อนข้างตื้น โดยเฉลี่ย 20-40 เมตร อิทธิพลของคลื่นจึงไม่รุนแรงมาก เป็นคลื่นสูงใหญ่กว่าปกติ อย่างไรก็ตามเพื่อความไม่ประมาท มีพระสงฆ์ และผู้มีอภิญญาได้ร่วมกันใช้อภิญญาปิดปากแม่น้ำที่สำคัญโดยการเนรมิตเขื่อน ทางจิต เพื่อป้องกันมิให้คลื่นและน้ำเข้าทำลายและท่วมเมืองและนครใหญ่ ๆ โดย องค์พระเหนือโลก ได้เดินทางด้วยตนเองปิดปากแม่น้ำเจ้าพระยา เรียบร้อยแล้ว เพื่อป้องกันกรุงเทพมหานคร และได้มอบหมายให้คณะบุคคลจาก "กลุ่มโลกทิพย์" ไปดำเนินการปิดปากแมม่น้ำตาปีเพื่อป้องกันเมืองสุราษฎร์ธานี และที่สำคัญคือ "พระบรมธาตุไชยา"โบราณศาสนสถานสำคัญของภาคใต้ที่สร้างขึ้นใน ยุคศรีวิชัย ขณะรุ่งเรืองอย่างสูงสุด

วันที่ 23 ม.ค.2548 "กลุ่มโลกทิพย์" รวม 4 คน ได้เดินทางโดยเครื่องบินไปถึงสนามบิน สุราษฎร์ธานี เวลา 11.00 น. เมื่อรับประทานอาหารเที่ยงเรียบร้อยแล้ว จึงเดินทางเข้าสู่ อ.ไชยาเป็นอันดับแรก คณะของเราและสมาชิกโลกทิพย์ในพื้นที่ ที่มารอร่วมไปด้วยกันอีก 5 คน ไปถึง วัดพระบรมธาตุไชยา ราชวรวิหาร ประมาณบ่ายสองโมงเมื่อไปถึงมองเห็นองค์พระเจดีย์สูง องค์พระบรมธาตุมีสีขาว มีกำแพงล้อมรอบเป็นรูปเหลี่ยม มีประตูกำแพงเข้าได้หลายด้าน เราเข้าทางด้านหน้าซึ่งเป็นลานจอดรถที่หน้าประตูด่านแรก เราสัมผัสถึงพลังและบรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ จึงหยุดที่หน้าประตูยืนสำรวมจิตขออนุญาติเข้าที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เฝ้า ดูแลตามมารยาทอันควรของแขกผู้มาเยี่ยม ในชั่วอึดใจเห็น พญานาคสีทองเจ็ดเศียร เลื้อยมาต้อนรับที่หน้าประตู เป็นนาคตระกูลแผ่เต็มเบี้ย ซึ่งมีอำนาจมากกว่านาคตระกูลที่คอยาวเป็นนิ้วเหมือนนิ้วมือมนุษย์ พญานาคนั้นหันกลับเดินนำ เราจึงเดินตามเข้าไป ปรากฎว่าด้านในมีกำแพงอีกชั้นก่อนที่จะเข้าไปถึงเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุ เราจึงกำหนดจิตขออนุญาตสิ่งศักดิ์สิทธิ์เจ้าของที่อีกครั้ง เมื่อก้าวเข้ามาสู่ด้านในสุดอันเป็นหัวใจของพระบรมธาตุไชยา พลังและอณูอากาศ มีความอบอุ่นและสั่นสะเทือนบีบหัวใจในกายของเราให้เต้นและสั่นในความถี่ที่ คงที่
เมื่อตั้งขบวนเครื่องบูชาอันประกอบด้วย ดอกบัวและธูปเทียนเรียบร้อยแล้ว เราจึงคุกเข่าลงกราบ สวดมนต์กำหนดจิตอธิษฐาน ขออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองให้องค์พระบรมธาตุไชยาพ้นจากภัยพิบัติด้วย เถิด กำหนดจิตให้ลึกจึงมองเห็นว่า ควันจากธูปที่จุดไว้ และละอองหมอกสีขาว เป็นเส้นไหมจากจิตที่กำหนดตั้งจิตอฐิษฐานแผ่กุศลและส่วนบุญ ลอยออกไปจากพวกเราและธูปที่ปักเหมือนสายไหมที่พุ่งเข้าไปสู่จุดรวมของทอผ้า จุดรวมเส้นไหมของแรงกุศลและอธิษฐานหมุนเป็นเกลียวปั่นในทิศทางหมุนทวนเข็ม นาฬิกา เข้าสู่จุดกลางของช่องว่างที่มีสีดำรูปวงรี คิดอยู่ในใจว่า ช่องว่างดำนั้นคือสิ่งใด เมื่อจิตคิดถามคำตอบก็มาทันทีมองเห็นชัดว่าเป็นปากของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง นั่นคือปากของราหู เป็นปากของยักษ์ที่เคยเห็นประจำในรูปแบบของราหูอมจันทร์ สายไหมหรือสายใยแห่งกุศล แห่งแรงอธิษฐานลอยเข้าไปเหมือนถูกดูดจนหมดภายใน เวลาประมาณ 5 นาที เราจ้องมองดูจึงเห็นว่าราหูหน้ายักษ์ ค่อย ๆ ลอยขึ้นสูงอย่างช้า ๆ จนเลยยอดพระเจดีย์ขึ้นสูงหายไป ซึ่งหมายความว่า ราหูที่ถือกันว่าเป็นสิ่งมีอำนาจในการทำลายล้าง เมื่อสองสัปดาห์ข้าพเจ้ามองเห็น กำลังอมอ่าวไทยทั้งหมดอยู่ในปากอันแสดงว่าเกิดภัยพิบัติใหญ่หลวงในอ่าวไทย ขึ้น บัตนี้ได้ถอยออกไปและคืนพระบรมธาตุกลับมาด้วยแรงกุศล และแรงอธิษฐานของพวกเรา เสมือนเป็นการบอกว่า พระบรมธาตุไชยากลับคืนมาสู่สันติและความสงบเป็นมิ่งขวัญของชาว จังหวัดสุราษฎ์ธานีสืบไป

เมื่อทุกอย่างคลี่คลายพวกเราจึงพากันคลี่ผ้ายกสีทอง หน้ากว้างห่มรอบพระองค์เจดีย์โดยรอบ มีความยาวสี่ด้านประมาณ 25 เมตร เป็นการห่มถวายด้วยจิตที่เบิกบาน การห่มผ้าครั้งนี้เป็นผืนที่สาม เพราะมีร่องรอยของผู้มีจิตแรงกล้าได้มาถวามไว้ก่อนหน้าที่พวกเราจะมาแล้ว 2 ผืน เมื่อการห่มถวายเสร็จเรียบร้อยพวกเราจึงค่อยถอยห่างออกมา

พระบรมธาตุไชยาสร้างขึ้นในพุทธศัตวรรษที่ 13-14 หรือนานกว่า 1200 ปีมาแล้ว ในยุคศรีวิชัยกำลังรุ่งโรจน์ การก่อสร้างเป็นศิปะมหายานปนฮินดูเป็นองค์พระธาตุแบบสี่เหลี่ยมจตุรมุข ย่อซ้อนกันสามชั้น ตามมุมและหน้าบันที่อยู่เหนือซุ้มประตู เป็นที่สถิตขององค์เทพของฮินดู มีองค์พระพรหม พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ คชสิงห์ นกยูงและบรรดาสัตว์ในป่าหิมพานต์ ตามระเบียงคตโดยรอบมีพระพุทธรูปวางเรียงรายจนเต็ม เช่นเดียวกับที่เคยเห็นในระเบียงคตวัดโพธิ์

เมื่อจบขบวนการเราจึงถอยกลับออกมาสู่ด้านนอก พบว่าที่หน้าลานกว้างมีต้นโพธิ์ใหญ่ยืนต้น และมีอะไรอย่างหนึ่งที่มาบอกจิตว่า ณ โคนต้นโพธิ์นั้นพระแม่ธรณีท่านรออยู่ ทุกคนจึงเดินไป ณ ที่นั้น เมื่อถึงก็คุกเข่าก้มลงกราบถวายของบูชาพร้อมอธิษฐาน ขอให้พระแม่ธรณีช่วยคุ้มครององค์พระธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ด้วย จากการมองด้วยตาใน เห็นองค์พระแม่ธรณีทรงยื่นพระหัตถ์ออกมารับของบูชาถวาย เท่ากับเป็นความหมายว่า พระแม่ธรณีทรงเป็นองค์อุปถัมป์คุ้มครองแผ่นดินบริเวณ พระบรมธาตุไชยา เป็นที่น่าอนุโมทนายิ่งแล้ว

จุดหมายที่ 2 คือ ปากแม่น้ำตาปี สายน้ำของตาปีไหลผ่านตัวเมืองสุราษฏ์ ภาพคลื่นยักษ์ และกระแสน้ำพัดเข้ามาความเสียหายอาจจะเกิดขึ้นคาดไม่ได้ว่าจะรุนแรงแค่ไหน ทางที่ดีคือกันไว้ดีกว่าแก้ ตามคำแนะนำของ องค์พระเหนือโลก คณะของเรามุ่งตรงไปบริเวณปากแม่น้ำ เมื่อไปถึงก็พบว่า ที่บริเวณปากแม่น้ำที่ข้าพเจ้าเคยมาเมื่อหลายสิบปีก่อน ซึ่งเป็นสถานที่ชายทะเลที่เงียบสงบ โดยเฉพาะยามเย็นเป็นสถานที่พักผ่อนเยี่ยงสวนสาธารณะ ริมหาดมีเรือนแพจัดเป็นภัตตาคารขายอาหารทะเลที่ได้รสชาด ดีที่สุดในภาคใต้ แต่บัดนี้กลายเป็นสถานที่กองวัตถุดิบ ยิปซั่ม ที่กองเป็นภูเขาเลากาบริเวณกลายเป็นท่าเรือใหญ่ของเอกชน เป็นการทำลายทัศนียาภาพของดีเมืองสุราษฏ์ และนำความเป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อมมากองสุมแทน ตามสัจจะธรรมที่ว่า เมื่อความเจริญทางด้านวัตถุมาถึง ความสะอาดและความสงบย่อมหายไป

เมื่อมาถึงปากแม่น้ำตาปี ทอดสายตาไปทิศออกทะเล มองเห็นช่องปากแม่น้ำเป็นแนวกว้างพอประมาณ สองริมฝั่งขนาบด้วยป่าโกงกางหนาทึบที่คาดว่า จะลดความรุนแรงของกระแสคลื่นและน้ำลงไปได้มาก มองลงไปในสายน้ำด้วย ตาที่สาม ภาพที่เห็นคือ กระแสน้ำสีแดงเหมือนสายเลือดแดงฉานกำลังไหลขึ้นมาจากทะเล เข้าสู่ภายในปากแม่น้ำ เสมือนหนึ่งจะนำความตายและความพินาศเข้ามาด้วย ทำให้ใจรู้สึกสยดสยอง

วิธีบูชาบวงสรวงจึงได้เริ่มขึ้น โดยการอธิษฐานขออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขออำนาจของพระแม่คงคา และบอกกล่าวมนุษย์ตั้งแต่ ปีชวด ถึงปี กุน ให้ตั้งมั่นอยู่ใน ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อจะได้อยู่ในพระพุทธศาสนา ขออำนาจแห่งการ แผ่กุศลจากพวกเราทุกคน ช่วยคุ้มครองแม่น้ำสายนี้ด้วยเถิด เพื่อความอยู่รอดของภาคใต้ทั้งหมด ทันใดที่มีการหลั่งอุทก ลงในกระแสน้ำ สิ่งนั้นเกิดขึ้นแก่จักษุคือ น้ำสีแดงฉานจากสายเลือดนั้น ไหลกลับออกปากอ่าวทันที ทุก ๆ นาทีที่ผ่านไป สีแดงของน้ำค่อย ๆ จางลง และใสเป็นปรกติภายในเวลา 10 นาทีต่อมา หมายความว่า อำนาจแห่งความกระหายเลือดได้หมดไปแร้ว เหลือเพียงว่าจะไม่ให้ไหลเข้ามาได้อีกอย่างไร คำตอบคือเนรมิตเขื่อนปิดปากแม่น้ำ

องค์พระเหนือโลก ผู้กำหนดให้พวกเรามาก่อนบอกไว้ว่า เมื่อมาถึงก่อนตัวท่านจะตามมา บัดนี้ได้เวลาแล้วท่านมาแล้วหรือยัง กำหนดจิตบอกไปว่าพวกเรารอท่านอยู่ บัดดลมองเห็นสิ่งหนึ่งลอยลิ่วมาจากทางขวา พุ่งโลดไปยังจุดที่เป็นปากแม่น้ำจิง ๆ มองเห็นจีวรสีกรักพัดไสว ท่านเหาะมาเหมือนโยคีขี่รุ้ง ในเรื่องพระภัยมณี มองเห็นเป็นสายรุ้งสีกรัก พระเหนือโลกมาแล้ว พวกเราจึงรวมจิตอีกครั้งมองเห็นชัดว่า จุดที่พระเหนือโลกลงไปที่ปากแม่น้ำแปรปรวนเต็มไปด้วยหมอกหนาสีขาวขุ่น หมอกหนานั้น ค่อย ๆ อัดตัวแน่นเป็นกำแพง สีขาวสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 5 เมตร เป็นกำแพงนิมิตรที่กั้นแม่น้ำป้องกันการรุกล้ำของอุทกภัยที่เป็นอันตราย นี่คือประสบการณ์ครั้งแรกในชีวิต ที่เห็นการอุบัติของกำแพงน้ำกั้นปิดปากแม่น้ำ เพื่อความอยู่รอดของปวงประชา เมื่อขบวนการเสร็จสิ้น องค์พระเหนือโลกได้เหาะวนกลับออกมา เหมือนขี่รุ้งสีกรักโบกมือในความสำเร็จ และลอยหายลับไปในทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นทิศที่ท่านมา

การปิดปากแม่น้ำเจ้าพระยาก็เพื่อป้องกันวัดศรีรัตนศาสดาราม ป้องกันองค์พระแก้วมรกตสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของบ้านเมือง ซึ่งสร้างบูชาถวายโดย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ผู้เป็นพระปฐมต้นราชวงศ์จักรี ที่ยืนยงมาถึง รัชกาลที 9 เพื่อให้ประเทศได้ยืนยงต่อไป ภายใต้เศวตฉัตรอันประกอบด้วยทศพิศราชธรรม อาณาจักรรุ่งเรือง ประชาราชเป็นสุข การปิดปากแม่น้ำตาปี ก็เพื่อรักษาอาษาจักรศรีวิชัยและพระบรมธาตุไชยา ซึ่งเป็นเหตุปฐมของการตั้งบ้านตั้งเมือง ของสุวรรณภูมิ ควบคู่กับยุคหริภุญไช ของพระแม่จามเทวี เมื่อกว่า 1200 ปีมาแล้ว และได้กลายเป็นประเทศสยาม และเป็นประเทศไทยในที่สุด ทั้งหมดคือขบวนการรักษาปฐมเหตุของการตั้งชาติ และรักษาความศักดิ์สิทธิ์รวมถึงอำนาจของราชวงศ์จักรี

พวกเราทุกคนขอน้อมจิตและแผ่ส่วนกุศล ให้สรรพสัตว์โลกทั้งหลายจงพ้นจากทุกข์ในคราวนี้ด้วยเทอญ(โปรดติดตามตอนต่อ ไป) ก็ไปซื้ออ่านกันเอาเองนะจ๊ะสำหรับผู้ที่กำลังติดตาม คุณตาที่สาม ที่ข้าพเจ้าพิมพ์มาทั้งหมดนี้ คัดลอกมาจาก หนังสือโลกลี้ลับ ปีที 22 ฉบับที่243 ประจำเดือนมีนาคม 2548 ISSN 0858-8104 เล่มละ 40 บาท


จากกระทู้นึงที่ว่า "หยุดคลื่นซึนามิด้วยฝ่ามือ" มีคำว่า"องค์พระเหนือโลก" อยู่ เลยสงสัยว่าคืออะไร...

จากคุณ : หนุ่มทิพย์ - [ 3เม.ย. 48 00:17:26 ]

เพราะ สิ่งศักดิ์สิทธิ รู้ว่า จะมีการยุบของพื้นทะเลในอ่าวไทย และจะมี คลื่นใหญ่ น้องๆๆ ซึนามิ เข้า โถมใส่ ตลอด ชายฝั่งอ่าวไทย และบางส่วนจะทะลัก เข้า ตามแม่น้ำที่อยู่รอบอ่าวไทย

" องค์พระเหนือโลก " คือ พระ รูปหนึ่ง จาก อิสานใต้ ได้ เห็นความจำเป็น จึง มาที่ ปากแม่น้ำ เจ้าพระยา เพื่อ ปิด ปากแม่น้ำ ด้วยมนต์ ป้องกันไม่ให้ คลื่นน้ำ ทะลัก เข้าท่วม กทม

เป้าหมายสำคัญ อยู่ที่ วัด พระแก้ว และ หลักเมือง ซึ่ง
เป็นสัญญลักษณ์สำคัญ เป็นจุดคี้มึ้ง ของกทม และ ราชวงศ์จักรี ถ้าจมน้ำไป ประเทศไทย และ ราชวงศ์จักรีจะเป็น อย่างไร

และอีกจุด คือ พระธาตุไชยา ซึ่งเป็น ที่ตั้งและจุดเกิด ของ สุวรรณภูมิ หรือ ประเทศไทยยุคแรก ถ้าจมน้ำไป สุวรรณภูมิ ก็จะไม่มี แล้วประเทศไทยก็จะไม่มีเช่นกัน

"องค์พระเหนือโลก ได้มีบัญชาให้ คณะ ของเรา เดินทางไป ช่วยกันปิด ปากแม่น้ำตาปี เพื่อ ป้องกัน สุราษฎร์ธานี พอคณะเราไปถึง จุดที่ปากแม่น้ำ "

องค์ พระเหนือโลก ท่าน ได้เหาะมาในอากาศ เหมือน โยคีขี่รุ้งใน เรื่อง พระอภัยมณี ลง มา สร้างมนต์กำแพงน้ำสูงประมาณ 8 เมตร เพื่อ ไม่ให้ น้ำ จาก คลื่น เข้าท่วม สุราษร์และ พระธาตุไชยา

เรื่องนี้เป็นงาน ปิดทองหลังพระ ไม่อยาก จะ เล่า แต่เมื่อ ถามมา ก็ เล่าให้ฟัง เงียบๆๆ ครับ
..

จากคุณ : ตาที่สาม - [ 3 เม.ย. 48 06:53:25 ]

เรื่องนี้บอกให้รู้ว่า ต้องเกิดแน่ๆ ดังนั้นขอให้เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ ด้วย ความไม่ประมาท

จากคุณ : ปัญโญภาส - [ 3 เม.ย. 48 11:41:52 ]

หยุดคลื่นซึนามิด้วยฝ่ามือ
นี่เป็นข้อเขียนของคุณตาที่สามเองเหรอครับ

จากคุณ : TerraN เจ้าเก่า - [ 3 เม.ย. 48 12:40:46 ]

ผมอยู่ในเหตุการณ์ ปิด แม่น้ำตาปี นั้นด้วย คนที่ไป เป็นคณะ โลกทิพย์ มี สี่คน..คนที่เขียน เป็นคนของ โลกทิพย์ ครับ

โลก หรือห้องทดสอบจิตมนุษย์ หรือ นรก บนดิน.หมดเวลาแล้ว..องค์พระศิวะ ซึ่งเป็นผู้สร้าง และผู้ทำลาย ท่านได้สร้างมาแล้ว และบัดนี้ถึงเวลาที่จะต้อง ทำลาย เพื่อ ล้าง และ สร้างมาใหม่ สำหรับ ยุคพระศรีอารย์..ที่กำลังจะเริ่ม เป็นโลกแห่ง ความดี แห่งความสุข ตามที่พวกเราได้รู้กัน

เวลา เหลือน้อยมาก..อยากจะพูดว่า ไม่ทันแล้ว สำหรับคนที่ยัง มัวเมาในกิเลส และ จะต้องถูกทำลาย ลบทิ้งไป...การทำลายล้างโลก ได้เริ่มต้นอย่างจริงจังมาแล้ว หลังจากที่ได้เตือนมาก่อนหน้านั้น..เตือนอย่างไร..คงเข้าใจ
เท่านั้นครับ

จากคุณ : ตาที่สาม
- [ 29 เม.ย. 48 06:22:05 ]

http://www.pantip.com/cafe/wahkor/to.../X3390925.html18

วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ภัยพิบัติจากพายุสุริยะ

0 ความคิดเห็น



พายุสุริยะ

      ตั้งแต่สมัยโบราณมนุษย์รู้ว่า ดวงอาทิตย์มีความสำคัญต่อชีวิต เพราะดวงอาทิตย์ให้แสงสว่างและความร้อนแก่โลก และสิ่งมีชีวิต ทุกชนิดใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการดำรงชีพ คนโบราณจึงนับถือดวงอาทิตย์เสมือนเป็นเทพเจ้าผู้ทรงอำนาจลึกลับ และถึงแม้ว่า วันเวลาจะผ่านไปนานร่วมพันปีแล้วก็ตาม มนุษย์ก็ยังไม่เข้าใจธรรมชาติของดวงอาทิตย์

ย้อนอดีตไปเมื่อ 300 ปีก่อนนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้รู้ว่า ดวงอาทิตย์ประกอบด้วยก๊าซร้อนและความดันที่มีอยู่ในก๊าซนั้นมีค่าสูงพอที่จะ รับ น้ำหนักของก๊าซที่กดลงมาได้ ดังนั้นดวงอาทิตย์จึงสามารถทรงตัว ทรงรูปร่างและทรงขนาดอยู่ได้

และเมื่อ 100 ปีก่อนนี้ นักวิทยาศาสตร์ก็เริ่มรู้ว่า ดวงอาทิตย์มีไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบหลัก และมีฮีเลียมเป็นองค์ประกอบรอง และนอกจากธาตุทั้งสองนี้แล้วดวงอาทิตย์ก็ยังมีธาตุอื่นๆ เช่น คาร์บอน โซเดียม แคลเซียม และเหล็กบ้าง

ต่อมาในปี พ.ศ. 2476 นักดาราศาสตร์ได้พบว่า ในบางขณะผิวดวงอาทิตย์จะมีเหตุการณ์ระเบิดอย่างรุนแรง ทำให้มีเปลวก๊าซร้อน พุ่งออกจากผิว และในบางครั้งเปลวก๊าซอาจจะพุ่งไกลถึงล้านกิโลเมตร เหตุการณ์ระเบิดที่ผิวแล้วทำให้มีเปลวก๊าซร้อนพุ่งออกไปใน อวกาศนี้ เราเรียกว่า พายุสุริยะ (solar wind)

การศึกษาพายุสุริยะในเวลาต่อมาได้ทำให้นักวิทยาศาสตร์รู้ว่า พายุนี้เป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติที่น่าสะพรึงกลัวยิ่ง เพราะเมื่อเรารู้ว่า เปลวก๊าซร้อนที่พุ่งออกมาจากดวงอาทิตย์นั้นนำอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าออกมาก มายด้วย ดังนั้น เมื่ออนุภาคเหล่านี้พุ่งถึงชั้นบรรยากาศ เบื้องบนของโลก ถ้าขณะนั้นมีนักบินอวกาศร่างกายของนักบินอวกาศคนนั้นก็จะได้รับอนุภาคที่มี ประจุไฟฟ้าและรังสีต่างๆ มากเกินปรกติ ซึ่งจะทำให้ร่างกายเป็นอันตรายได้

นอกจากนี้ พายุอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าอาจพุ่งชนดาวเทียมที่กำลังโคจรอยู่รอบโลกจนทำให้ ดาวเทียมหลุดกระเด็นออกจากวงโคจรได้ และถ้าอนุภาคเหล่านี้พุ่งชนสายไฟฟ้าบนโลก ไฟฟ้าในเมืองทั้งเมืองก็อาจจะดับ ดังเช่นเหตุการณ์ไฟฟ้าดับที่เมือง Quebec ในประเทศ คานาดาเป็นเวลานาน 9 ชั่วโมง เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2532 เพราะโลกถูกพายุสุริยะจากดวงอาทิตย์พัดกระหน่ำอย่างรุนแรง

ความจริงเหตุการณ์ครั้งนั้นได้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 11 ปีมาแล้ว แต่เมื่อนักวิทยาศาสตร์รู้อีกว่า ทุกๆ 11 ปีจะเกิดเหตุการณ์พายุสุริยะ ที่รุนแรงบนดวงอาทิตย์อีก ดังนั้นปี พ.ศ. 2543 จึงเป็นปีที่นักวิทยาศาสตร์คาดหวังจะเห็นโลกถูกดวงอาทิตย์คุกคามอย่างหนัก อีก ครั้งหนึ่ง และเมื่อขณะนี้โลกมีดาวเทียมที่กำลังปฏิบัติงานอยู่ประมาณ 800 ดวงและสหรัฐอเมริกาเองก็มีโครงการจะส่งนักบินอวกาศ ขึ้นไปสร้างสถานีอวกาศนานาชาติในปีนั้นอีกเช่นกัน บุคลากรและดาวเทียมเหล่านี้จึงมีโอกาสถูกพายุสุริยะจากดวงอาทิตย์พัดกระหน่ำ จนเป็นอันตรายได้ ก็ในเมื่อเวลาพายุไต้ฝุ่นหรือทอร์นาโดจะพัด เรามีสัญญาณเตือนภัยห้ามเรือเดินทะเลและให้ทุกคนหลบลงไปอยู่ห้อง ใต้ดิน จนกระทั่งพายุพัดผ่านไป การเตือนภัยพายุสุริยะก็เป็นเรื่องที่จำเป็นเช่นกัน เพราะถ้าเรารู้ว่าพายุสุริยะกำลังจะมาถึงโลก โรงไฟฟ้า ก็ต้องลดการผลิตกระแสไฟฟ้า คือไม่ปล่อยกระแสไฟฟ้าออกจากเครื่องเต็มกำลังเพราะถ้าไฟฟ้าเกิดช็อต ภัยเสียหายก็จะไม่มาก ดังนั้น การแก้ไขล่วงหน้าก็จะสามารถทำให้ความหายนะลดน้อยลง

แต่ความสามารถของผู้เชี่ยวชาญสภาวะของอวกาศ วันนี้ก็ดีพอๆ ความสามารถของนักอุตุนิยมวิทยาที่สามารถทำนายสภาพของอากาศ บนโลก เมื่อ 40 ปีมาแล้ว ดังนั้น รัฐบาลสหรัฐฯ จึงได้จัดตั้งศูนย์สภาวะแวดล้อมของอวกาศ (Space Environment Center) ขึ้นมา โดยให้นักวิทยาศาสตร์มีหน้าที่ทำนายสภาพของอวกาศล่วงหน้า และผลงานการพยากรณ์เท่าที่ผ่านมาได้ทำให้เรารู้ว่า คำพยากรณ์นี้มี เปอร์เซ็นต์ถูกถึง 90% ถ้าเป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดในหนึ่งชั่วโมง แต่เปอร์เซ็นต์ความผิดพลาดก็จะสูง ถ้าเป็นกรณีการทำนายล่วงหน้า หลายวัน

เพื่อให้คำทำพยากรณ์ต่างๆ มีเปอร์เซ็นต์ความถูกต้องมากขึ้น องค์การ NASA ของสหรัฐฯ จึงได้วางแผนส่งดาวเทียมดวงใหม่ขึ้น อวกาศเพื่อสำรวจสถานภาพของพายุสุริยะทุกลูกที่จะพัดจากดวงอาทิตย์สู่โลกใน อีก10 ปี ข้างหน้านี้

ความรู้ปัจจุบันที่เรามีอยู่ขณะนี้คือ ผลกระทบของพายุสุริยะจะรุนแรงอย่างไร และเช่นไร ขึ้นกับ 3 เหตุการณ์ต่อไปนี้ คือ

เหตุการณ์แรกเกี่ยวข้องกับจุดดับบนดวงอาทิตย์ (sunspot) ซึ่งเป็นบริเวณผิวดวงอาทิตย์ที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าบริเวณส่วนอื่น และเป็น บริเวณที่สนามแม่เหล็กจากดวงอาทิตย์สามารถทะลุออกจากดวงอาทิตย์ออกมาสู่ อวกาศภายนอกได้ ดังนั้น เมื่อเกิดการระเบิดที่ผิวดวง อาทิตย์ในบริเวณนี้ กระแสอนุภาคจะถูกผลักดันออกมาตามแนวเส้นแรงแม่เหล็กนี้มาสู่โลก และเมื่อกระแสอนุภาคจากจุดดับพุ่งชน บรรยากาศเบื้องบนของโลก มันจะปะทะอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าที่อยู่ในชั้นบรรยากาศของโลก (ionosphere) การชนกันเช่นนี้จะทำให้ เกิดกระแสประจุซึ่งมีอิทธิพลมากมายต่อการสื่อสารทางวิทยุ

เหตุการณ์สองที่มีอิทธิพลทำให้สภาวะของอวกาศระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ปรวนแปร ในกรณีมีพายุสุริยะที่รุนแรงคือ ชั้นบรรยากาศ ของโลกอาจจะได้รับรังสีเอกซ์มากกว่าปกติถึง 1,000 เท่า รังสีเอกซ์นี้ จะทำให้อิเล็กตรอนที่กำลังโคจรอยู่รอบอะตอม กระเด็นหลุดออก จากอะตอม และถ้าอิเล็กตรอนเหล่านี้ชนยานอวกาศ ยานอวกาศก็จะมีความต่างศักย์ไฟฟ้าสูง ซึ่งจะทำให้วงจรอิเล็กทรอนิกส์ในยานเสีย และนั่นก็หมายถึงจุดจบของนักบินอวกาศ

ส่วนเหตุการณ์สาม ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุด เกิดขึ้นเมื่อกลุ่มก๊าซร้อนหลุดลอยมาถึงโลก และเมื่อมันพุ่งมาถึงโลกสนาม แม่เหล็กในก๊าซร้อนนั้นจะบิดเบนสนามแม่เหล็กโลก ทำให้มีกระแสไฟฟ้าไหลในชั้นบรรยากาศของโลกอย่างมากมาย กระแสไฟฟ้านี้ จะทำให้ชั้นบรรยากาศของโลกมีอุณหภูมิสูงขึ้น มันจึงขยายตัว ทำให้ยานอวกาศที่เคยโคจรอยู่เหนือบรรยากาศ ต้องเผชิญแรงต้านของ อากาศ ซึ่งจะมีผลทำให้ยานมีความเร็วลดลงแล้วตกลงสู่วงโคจรระดับต่ำ และตกลงโลกเร็วกว่ากำหนด

เหล่านี้คือเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นเวลาโลกถูกพายุสุริยะกระหน่ำ ดังนั้น เพื่อเตือนภัยล่วงหน้า ศูนย์สภาวะแวดล้อมของอวกาศจึงได้ประกาศ คำพยากรณ์สภาวะของอวกาศล่วงหน้าหนึ่งวันทุกวัน เพื่อให้คนเกี่ยวข้องได้รู้ว่า พายุจากอวกาศที่กำลังจะเกิดนั้นรุนแรงเพียงใด และจะมาถึงเมื่อใด โดยใช้ดาวเทียมที่ชื่อ Solar and Heliospheric Observatory (SOHO) ซึ่งถูกส่งขึ้นไปเมื่อ 5 ปีก่อนนี้ ให้สำรวจดวงอาทิตย์ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง เพราะดาวเทียมดวงนี้อยู่ห่างจากโลก 1.5 ล้านกิโลเมตร และมีกล้องโทรทรรศน์สำหรับ วิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆ บนดวงอาทิตย์ ดังนั้น SOHO ก็สามารถบอกได้ว่า ความเร็วของกลุ่มก๊าซร้อนเป็นเช่นไร และกลุ่มก๊าซนั้นมี ขนาดใหญ่หรือไม่เพียงใด และนอกจากดาวเทียม SOHO แล้วสหรัฐฯ ก็ยังมีดาวเทียมที่ชื่อ Advanced Composition Explorer หรือ ACE อีกด้วย ซึ่ง ACE ถูกส่งไปโคจรรอบดวงอาทิตย์กับโลก และทำหน้าที่รายงานให้โลกรู้ว่า มหพายุสุริยะกำลังจะมาหรือไม่

เพราะถ้ามาจริงๆ เราจะได้มีเวลาปลง

http://www.ipst.ac.th/ThaiVersion/pu...solarwind.html



คำทำนายอนาคตของโลก อาจารย์เลือง มินห์ ด๋าง

3 ความคิดเห็น

สนามแม่เหล็กไฟฟ้าของโลก
คำทำนายอนาคตของโลก
โดยอาจารย์เลือง มินห์ ด๋าง

      เมื่อ สิ้นศตวรรษที่ 20 นี้ สนามแม่เหล็กไฟฟ้าของโลกจะมีการเปลี่ยนแปลง สลับสับสนกันอย่างยุ่งเหยิงไฟฟ้าบนโลกจะขัดข้อง การติดต่อสื่อสารรับรู้กันทั่วโลกโดยอิเลคทรอนิค จะใช้การไม่ได้ภัยพิบัติหลายๆ อย่างจะเกิดขึ้น คนที่เคยสนุกสุขสบายจะทนต่อสภาวะนั้นไม่ได้ เดือดร้อนเรื่องที่พัก อาหาร เครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ ผู้คนจะเกิดความเครียด คลุ้มคลั่ง ปั่นป่วนกันไปหมดทั้งโลก

ในวันนั้นน้ำ 1 ลิตรจะมีค่ามากกว่าทองคำ 1 กิโลกรัม และอาจจะไม่สามารถแลกซื้อได้ อาหารขาดแคลนมาก นับเป็นภัยอันตรายยิ่งกว่าสงครามใดๆ ภัยนี้จะคุกคามไปทั่วโลก ผู้คนที่ทนต่อสภาวะการณ์ดังกล่าวไม่ได้จะต้องตายไป และประมาณว่าอาจตายกว่า 70 เปอร์เซนต์ทั้งโลก

ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์พยายามค้นคว้าว่า จะมีวิธีใดที่จะถนอมอาหารเอาไว้ใช้ได้นานๆ และจะหาที่เก็บที่เหมาะสม เพื่อเผชิญกับวิกฤตการณ์ที่จะเกิดขึ้น

สำหรับ ประเทศไทย จะได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ครั้งนี้ไม่มากนัก เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความเจริญทางด้านจิตวิญญาณสูง ต่อไปมนุษย์ที่เหลืออยู่เกือบทั้งโลกจะต้องมาพึ่งประเทศไทย ซึ่งจะยังคงมีพืชพันธุ์ธัญญาหารและสิ่งแวดล้อมอุดมสมบูรณ์อยู่ และพลเมืองมีเมตตาธรรม

หน ทางแก้ไขล่วงหน้านั้น นักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ และรัฐบาลต่างๆ ต้องรับรู้ถึงภัยพิบัติครั้งนี้ และหาทางป้องกันแก้ไข ต้องพยายามให้คนที่มีฐานะดีช่วยเหลือคนยากคนจน เป็นการพัฒนาจิตวิญญาณให้ดีขึ้น จิตวิญญาณที่ดีจะช่วยคุ้มครองตัวเราไว้

สำหรับ ภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นหลังจากศตวรรษที่ 20 นี้ขอให้ผู้มีวิชาพลังจักรวาลได้ช่วยกันนั่งสมาธิ อธิษฐาน ขอให้เบื้องบนรับรู้การแก้ปัญหาของเรา และให้ความช่วยเหลือ ซึ่งคงจะได้ผลเหมือนกับหลายๆ ครั้งที่เราได้เคยช่วยกันมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่หรือไฟไหม้ครั้งมโหฬาร การรวมพลังกันอย่างตั้งใจและแน่วแน่ เช่นนี้คงจะช่วยผ่อนคลายวิกฤตการณ์ร้ายครั้งนี้ ให้เบาบางลงไปได้บ้าง

( แหล่งที่มา หนังสือพลังจักรวาลรักษาโรค โดยนพนนท์ สำนักพิมพ์เรือนบุญ 10/1 หมู่ 7 ซอยบางกระสอบ 2 ต.บางกระสอบ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ )

คำทำนายภัยพิบัติของ อ.ปริญญา ตันสกุล

1 ความคิดเห็น

หนังสือมหาสติ อ.ปริญญา ตันสกุล
คำทำนายของภัยพิบัติของ อ.ปริญญา ตันสกุล

ประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางของโลก
และเป็นประเทศแรกที่มีผู้สร้างยานอวกาศไปท่องจักรวาลได้
เป็นแห่งเดียวของโลก โดยใช้พลังจิตในการขับเคลื่อน
โดยที่ไม่ได้ใช้เชื้อเพลิงในการเผาไหม้
ให้เกิดพลังงานที่ทำลายสิ่งแวดล้อม
และทรัพยากรธรรมชาติของโลก
ให้เสียหายอย่างเช่นในปัจจุบัน
นอกจากนี้ต่อมไพนีล หรือตาที่ 3 ของมนุษย์
จะถูกฟื้นฟูขึ้นมาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
จนสามารถเข้าถึงสภาวะนิพพานได้ง่ายขึ้นกว่าในอดีต

ตามความคิดของผม ยานอวกาศที่ว่าน่าจะหมายถึง"จักรรัตนะ" ของพระเจ้าจักรพรรดิ์ ลองอ่านข้อความต่อไปนี้ดูนะครับ

ที่สุดแห่งเทคโนโลยี ยุคชาววิไล

เมื่อนั้น พระราชาก็เริ่มคิดค้นถึงเทคโนโลยีขั้นสูงสุด ที่เป็นที่รวมของทุกสิ่งทุกอย่าง คือ เป็นเครื่องมือที่สามารถจะดึงอณูธาตุที่มีในอากาศมาขึ้นรูปเป็นวัตถุสิ่งของ ต่างๆได้ตามปรารถนา โดยไม่ต้องได้ตัดไม้เพื่อมาทำกระดาษ ไม่ต้องขุดดินระเบิดหินเพื่อมาทำซีเมนต์หรือก้อนอิฐ ไม่ต้องผลิตคอมพิวเตอร์เป็นจอๆ แบบมีแป้นควบคุมนี้มาใช้ ด้วยว่า ข้าวของเครื่องใช้เหล่านี้ มีความสิ้นอายุไป แล้วก็กลับกลายเป็นของเสียในภายหลัง มีความล้าหลัง มีคุณสมบัติหลายอย่างไม่ตรงตามปรารถนา ประกอบกับในเวลานั้น ปัญหาขยะในโลกก็ยังคงมีอยู่ แม้ว่าเทคโนโลยีที่พยายามพิจารณาดีแล้วนั้นจะก่อมลพิษน้อยก็ตาม แต่มันก็ยังมีอยู่ สืบต่อไปในระยะกาลประมาณหนึ่ง ก็มีอันต้องสะสมกันล้นพื้นที่ได้ง่าย ด้วยเหตุนี้ พระราชาจึงพิจารณาเพื่อสร้างวัตถุอันเป็นที่สุดแห่งเทคโนโลยีขึ้นมา คือจักรรัตนะ หรือจะเรียกว่า เครื่องควบคุมพลังงานหรือธาตุในจักรวาลให้เป็นไปตามใจปรารถนา ก็ได้

ก็จักรรัตนะนี้นั้น เมื่อปรากฏสำเร็จขึ้นมาแล้ว จะมีคุณสมบัติในการควบคุมธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ในขอบเขตเท่าที่ใจนึกได้ โดย เครื่องมือชนิดนี้จะตอบสนองโดยตรงต่อความนึกของมนุษย์ ในการป้อนข้อมูลเข้าจักรรัตนะ จึงไม่จำเป็นต้องอาศัยแป้นพิมพ์ ไม่ต้องอาศัยหน่วยความจำภายนอก และขอบเขตในการควบคุมธาตุ กว้างใหญ่ไปเท่าที่ใจของผู้เป็นเจ้าของจะนึกถึงได้ ... จักรรัตนะนี้ รับข้อมูลเข้าไปในรูปของอารมณ์จิต จึงมีอานุภาพเป็นทิพย์ มีความสามารถในการเร่งพลังงานข้ามมิติแห่งกาลเวลาเข้าไปยังภพภูมต่างๆในต่าง มิติได้ สามารถจะไปนรกสวรรค์ได้ ไปพรหมโลกได้ คือ ไปได้ทุกที่ที่มีธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ เท่าที่ใจของเจ้าของจะนึกถึง ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ก็จะใช้งานแค่ในขอบเขตจักรวาลหนึ่งเท่านั้น ไม่ค่อยนำไปใช้งานข้ามแกแล็กซี่นัก แต่ในความจริง จักรรัตนะ สามารถเดินทางข้ามแกแล็กซี่ได้

เมื่อต้องการจะเข้าไปศึกษาเรื่องราวของวัตถุธาตุในจักรวาล เช่น โครงสร้างดาวโลกชมพู โครงสร้างดวงอาทิตย์ หรือเนบิวลา หรือวัตถุอื่นใดในวงกว้างนั้น จักรรัตนะจะเร่งพลังงานเข้าไปไว้ในระดับทิพย์ที่ไม่แตะต้องกับธาตุ4แบบ มนุษย์ แล้วแทรกซึมเข้าไปในเนื้อวัตถุธาตุเหล่านั้นได้ มีการนำเสนอโครงสร้างของดวงดาวเหล่านั้นได้คล้ายอย่างที่คอมพิวเตอร์นำเสนอ ข้อมูลในรูปกราฟฟิก จะต่างกันก็แค่ว่า จอมอนิเตอร์สำหรับจักรรัตนะแล้ว เป็นจอที่ไม่มีขอบเขตแน่นอน

ไม่ใช่เพียงเท่านั้น จักรรัตนะนั้นเอง ยังมีกำลังอำนาจในการขยายอณูแห่งธาตุเข้าไปยังระดับโครงสร้างที่เล็กลงๆไปเรื่อยๆได้ตามปรารถนา

เรียกจักรรัตนะว่า เป็นเครื่องมือสารพัดจะนึก สารพัดจะใช้ก็ได้

เพราะเหตุที่จักรรัตนะมีความพิเศษอย่างนี้ จึงมีอานุภาพครอบงำแม้กระทั่งอานุภาพของเหล่าเทวดา จึงมีอำนาจในการจัดอารักขาป้องกันภัยอันตรายให้พระราชาได้ตามที่พระราชา ปรารถนา

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้รู้แจ่มแจ้งโลก เมื่อกล่าวถึงโลกในมุมอันเป็นทีสุดแห่งความเจริญในด้านความรู้เทคโนโลยี พระองค์จึงกล่าวถึง จักรรัตนะนี้ ว่า เป็นสิ่งพิเศษสูงสุด และตรัสเรียกพระเจ้าจักรพรรดิ ผู้สามารถก่อเหตุปัจจัยให้เหมาะสมในการปรากฏจักรรัตนะนั้นว่า เป็นอัจริยะมนุษย์ เกิดขึ้นมาเพื่อเป็นอัจริยะมนุษย์ คือสามารถคิดค้นสิ่งที่มนุษย์ทั่วไปไม่อาจจะคาดคิดถึง แม้กระทั่งจะจินตนาการว่ามันมี มนุษย์ทั้งหลายก็ไม่กล้าจะจินตนาการ แต่บุคคลพิเศษผู้นั้น กลับมีกำลังปัญญาข้ามกรอบมนุษย์ทั่วไปนั้นไป จึงกล่าว่า พระเจ้าจักรพรรดิเป็นบุคคลพิเศษ และเพราะความที่พระเจ้าจักรพรรดิทำประโยชน์เกื้อกูลโลก เพื่อประโยชน์สุขแก่เทวดาและมนุษย์ จึงดำรงอยู่ในฐานะที่ควรเคารพสักการะ ควรแก่การระลึกถึง ผู้ที่ระลึกถึงพระเจ้าจักรพรรดิ มีผลให้เข้าสู่สุคติภูมิได้ หลังจากตายเพราะกายแตก

พระเจ้าจักรพรรดินั้นเอง คือพระธรรมราชา เป็นราชาโดยธรรม เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในโลก ในคุณสมบัติต่างๆ

แม้จะอย่างนั้นก็ตาม พระเจ้าจักรพรรดิผู้พิศษเยี่ยงนั้น ก็เปรียบไม่ได้แม้เสี้ยวหนึ่งในแสนโกฏิเสี้ยวแห่งองค์คุณของพระสัมมาสัมพุทธ เจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย

ต่อไปจะได้กล่าวถึงวิธีการสร้างจักรรัตนะ

จากคุณ : มังคละ [ ตอบ: 21 พ.ย. 47 - 11:14 ] ยังไม่แนะนำตัว | สมาชิกลานธรรมถาวร | ตอบ: 88 | ฝากข้อความ |

ความคิดเห็นที่ 21 : (มังคละ) อ้างอิง |

หลักการสร้างจักรรัตนะ

ขั้นตอนการออกแบบ การออกแบบจักรรัตนะนั้น ประกอบไปด้วยสองส่วน คือส่วนฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ (ให้พิจารณาเทียบเคียงกับเรื่องเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เราใช้กันในปัจจุบัน นี้)

การออกแบบฮาร์ดแวร์ของจักรรัตนะ

ฮาร์ดแวร์ คือส่วนที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตามนุษย์นี้ จักรรัตนะจะถูกออกแบบให้มีรูปเหมือนกงล้อ คล้ายจานบิน คล้ายๆล้อเกวียน แต่ซี่ของจักรรัตนะนั้น จะไม่ปล่อยเป็นซี่แบบอากาศเหมือนซี่รถจักรยาน หากแต่จะบุไว้เป็นตาๆ หากแบ่งส่วนออกก็จะได้สามส่วนใหญ่ๆ คือ ส่วนดุมจักร๑ ส่วนกำหรือซี่จักร๑ และส่วนกงจักร๑

ส่วนดุมจักรนั้นจะอยู่ตรงกลางสุด ใช้เป็นแกนหมุนได้ ทำมาจากแก้วไพทูรย์

ส่วนซี่หรือกำของจักรคือส่วนที่อยู่ตรงวงกลาง มีอยู่พันซี่คือ การขีดเส้นในแนวรัศมีของวงจักร และมีการแบ่งซี่เหล่านั้นออกเป็นวงย่อยๆ หรือเรียกว่าเป็นแทร็กๆก็ได้ ช่วงกำของจักรนี้ เมื่อลากตัดวงด้วยแนวซี่จักรแล้ว ก็จะได้เซกเตอร์ของซี่กำ แต่ละเซกเตอร์เอง ทำจากแก้วมีค่าหลากสีสัน มีการสลักรูปต่างๆไว้ในแต่ละเซกเตอร์ คือ รูปแบบต่างๆของแกแล็กซี่ รูปแบบต่างๆของดวงอาทิตย์ ของดวงจันทร์ ของโลก ของเทวดาเหล่าต่างๆ และรูปที่เกี่ยวกับมนุษย์ คือสัญลักษณ์ทั้งหมดที่สลักไว้ จะครอบคลุมเรื่องราวทั้งหมดในแกแล็กซี่

ในส่วนกงจักรนั้น จะแบ่งออกเป็นร้อยเซกเตอร์ พระอรรถกถาเรียกว่า ร้อยคัน และในแต่ละเซกเตอร์นั้นจะประดิษฐานฉัตรไว้ มีแถวลวดลายดอกไม้ทองคำแล่นโดยรอบขอบเขตแต่ละเซกเตอร์ของกงนั้น วัสดุที่ใช้ทำคันกงจักร คือ แก้วแดงบริสุทธิ์

หากมองจักรรัตนะในทิศเบื้องบน จะเห็นรูปจักรรัตนะ คล้ายกับดวงอาทิตย์ทอแสงสีรุ้งโดยรอบ แล้วก็มีประกายรุ่งเรืองด้วยแสงจากแก้วมณีแต่ละสี คือ แก้วสีต่างๆที่นำไปทำจักรรัตนะนั้น เปล่งแสงได้ด้วย โดยตรงดุมนั้นจะมีรัศมีรุ่งเรืองที่สุด

ทีนี้มาดูลายวงจรของจักรรัตนะบ้าง คอมพิวเตอร์ปัจจุบันนี้ มีแผ่นPCBเป็นแผงวงจรนำไฟฟ้าเข้าไปผ่านIC ที่มีคุณสมบัติต่างๆ ซึ่งใตไอซีเหล่านั้น มีลายวงจรเล็กๆ มีความละเอียดระดับไมครอน และในอนาคตยังจะพัฒนาให้ผลิตไอซีที่เล็กลงไปยิ่งกว่านั้นอีก จนท้ายที่สุด มนุษย์จะค้นพบว่า วัสดุทุกชนิด มีคุณสมบัติในการจำทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นเฉพาะสารกึ่งตัวนำ และลักษณะวิธีการอ่านข้อมูลในอณูธาตุเหล่านั้นเอง ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ระบบฉายกระแสไฟฟ้าเพื่อตรวจจับสัญญาณแม่เหล็ก หรือฉายเลเซอร์กระทบอะไรเทือกนี้ ..

ในส่วนนี้ บางที ในอนาคตอันใกล้ มนุษย์อาจสามารถใช้โมเลกุลของธาตุเพียงโมเลกุลเดียวในการทำตัวCPU ของคอมพิวเตอร์ก็ได้ เมื่อมนุษย์เห็นโครงสร้างของอุตอมได้ละเอียดขึ้น มีเครื่องมือระดับละเอียดปานนั้น

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อมนุษย์ศึกษาถึงความเกี่ยวพันระหว่างจิตกับธาตุ4 แล้ว มนุษย์ก็จะสามารถสร้างวงจรความจำ ทำวัตถุให้เป็นวัสดุเมมมอรี่ได้ โดยการใช้กำลังจิต เมื่อรู้ไปถึงนั่น มนุษย์ก็จะอธิบายได้ถึงการทำเครื่องลางของขลังในสายเทคโนโลยีทางนามว่า มันก็หลักคล้ายๆกับเรื่องเครื่องคอมพิวเตอร์นี้

คือ ผู้ทีเขาเรียกว่า เป็นผู้อัดพลังจิตนั้น ทำการบริกรรม เพ่งอารมณ์มุ่งหมายอยู่ อธิษฐานไว้ว่า วัตถุนี้ ให้มีคุณสมบัติอย่างนี้ เมื่อกระทบกับกระแสจิตอย่างนี้ของคนนี้ ทำนองนี้นะครับ ซึ่ง คุณสมบัติ ความพิเศษพิศดารของเครื่องลางของขลังเหล่านั้น จะมีอานุภาพมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับความรู้แจ้งชัดของผู้อัดพลัง คือ ผู้ป้อนซอฟต์แวร์ให้แก่วัสดุนั้นเอง ซึ่งโดยมากแล้ว ผู้ที่ศึกษาทางการทำเครื่องลางของขลัง เรียนด้วยวิธีสืบทอดกันมา ไม่รู้แจ้งชัดในความข้อนี้ คุณสมบัติของเครื่องลางของขลังจึงกินอาณาเขตแคบๆ ใช้งานได้แคบๆ ทั้งๆที่สามารถประยุกต์ไปใช้งานให้กว้างขวางกว่านั้นมากมาย

สิ่งที่เด่นชัดที่สุดในเรื่องเกี่ยวแก่เทคโนโลยีทางนามที่ประสานกับหลักการคิดแบบเทคโนโลยีทางวัตถุนี้แล้ว ก็คือ จักรรัตนะ นี้เอง

คงเคยได้อ่านพบกันมาบ้างว่า ได้ยินว่า เมื่อพระราชาจักรพรรดิพาจักรรัตนะพัดผันไปยังที่ใด มนุษย์ หรือบุคคลใดๆที่มีความคิดว่าจะหยิบศาสตราวุธขึ้นมาเพื่อจะทำร้ายพระองค์หรือ ทำร้ายใครๆนั้น จะไม่สามารถหยิบจับอาวุธขึ้นมาได้ นั่นก็ด้วยอานุภาพของจักรรัตนะ ซึ่ง พระราชาได้โปรแกรมให้ตอบสนองกับสัญญาณจิตรายบุคคลว่า เมื่อบุคคลนึกคิดอย่างนี้ ขอร่างกายของเขาจงตอบสนองอย่างนี้ เพราะร่างกายมนุษย์หรือเทวดาเอง ก็ประกอบขึ้นมาจากธาตุ4ทั้งนั้น

จากคุณ : มังคละ [ ตอบ: 21 พ.ย. 47 - 11:38 ] ยังไม่แนะนำตัว | สมาชิกลานธรรมถาวร | ตอบ: 88 | ฝากข้อความ |

ความคิดเห็นที่ 22 : (มังคละ) อ้างอิง |

การออกแบบซอฟต์แวร์จักรรัตนะ

ขั้นตอนที่ยากที่สุดของจักรรัตนะก็คือการออกแบบซอฟต์แวร์นี้เอง สมมติว่าออกแบบฮาร์ดแวร์ใช้เวลาสัก1-3ปี การออกแบบซอฟต์แวร์อาจจะใช้ 20-200ปี หรืออาจจะมากกว่านั้นก็ได้ ขึ้นอยู่กับปัญญาของพระราชาองค์นั้นๆว่า แล่นไปช้าเร็วเท่าไรในการออกแบบ

การออกแบบซอฟต์แวร์นั้น พระราชาจะต้องประมวลเรื่องระดับความคิดของบุคคลต่างๆที่มีในโลกว่ามีกี่ ระดับ แล้วก็แยกแยะงานที่คนแต่ละระดับจะสามารถใช้งานจักรรัตนะได้ ว่า ใครจะใช้งานได้ในขอบเขตใดบ้าง

เช่นว่า การใช้งานจักรรัตนะในเชิงของการเดินทางจากที่หนึ่งไปสู่ที่หนึ่งด้วยวิธีการ ย้ายโมเลกุล หากว่าพระราชาอนุญาตให้มนุษย์ทุกคนใช้เทคโนโลยีนี้อย่างอิสระ จะเกิดอะไรขึ้น? ก็ต้องตอบได้อย่างไม่สงสัยว่า ความวุ่นวายจะเกิด เดี๋ยวก็เดินทางไปโผล่ห้องนอนของคนนั้นคนนี้ แล้วไปทำกรรมลามกต่างๆมากมายได้ง่าย ด้วยเหตุอย่างนี้ พระราชาจะโปรแกรมไว้ว่า ในการเดินทางนั้น จะมีการกำหนดจุดในการปรากฏ เป็นท่า เป็นด่านตรวจคนเข้าเมืองอะไรทำนองนี้ ทั้งๆที่จริง จักรรัตนะสามารถจะส่งคนไปปรากฏในที่ใดๆก็ได้ แต่พระราชาไม่อนุญาตให้ผู้อื่นใช้จักรรัตนะในฟังก์ชันนั้นได้เท่านั้นเอง เพื่อประโยชน์ที่เหมาะสม

พระราชาก็จะมาพิจารณาเรื่องการเดินทางว่า จะต้องมีลำดับเริ่มต้นอย่างไร คือ เริ่มจากการเดินทางในบ้านในเมืองนั้นก่อน โดยให้ประชาชนกำหนดจุดสถานีขนส่ง หรือป้ายรถเมล์เป็นจุดๆในการเข้าและออก แล้วพระราชาก็จะเป็นผู้ป้อนโปรแกรมว่า อนุญาตการเดินทางด้วยการย้ายมวลสาร ในระหว่างจุดนี้กับจุดนี้ ทำนองนี้ พระองค์จะกำหนดเป็นจุดๆไป แม้การเดินทางทางอากาศ ด้วยวิธีการเหาะไปก็ตาม อันนี้ก็แล้วแต่รสนิยมของแต่ละคน พระราชาก็จะอนุญาตการใช้จักรรัตนะในกิจการการเดินทางด้วยการเหาะไว้ กำหนดเพดานเหาะไว้ กำหนดท่าเข้าท่าออกไว้ เพียงแค่ผู้ใช้งาน ต้องการเดินทาง ก็อธิษฐานกำหนดจุดเข้าจุดออกเท่านั้น จักรรัตนะก็จะควบคุมอณูธาตุในอากาศให้มีความหนาแน่นเข้า ยกร่างกายคนๆนั้นขึ้นสู่เพดาน แล้วก็ส่งไปด้วยระดับความเร็วที่กำหนดไว้ ทำนองนี้

พระราชาไม่ได้พิจารณาการใช้จักรแค่ในมุมนั้น หากแต่ยังพิจารณาการใช้ประโยชน์จักรรัตนะในมุมของการผลิต มีการกำหนดเจ้าหน้าที่ควบคุมการผลิตว่า ใครสามารถเป็นเจ้าหน้าที่ผลิตสินค้าได้ เหมือนการเดินทางอย่างนี้ บางทีก็ต้องอาศัยเจ้าหน้าที่ในการกำหนดจุด มีการกำหนดโปรแกรมว่า ก่อนที่ประชาชนทั่วไปจะเดินทางได้ ต้องเข้าพบเจ้าหน้าที่คนนั้นก่อน บอกเจ้าหน้าที่ว่า ต้องการไปลงที่เมืองนั้นๆ ตำแหน่งนั้นๆ แล้วเจ้าหน้าที่ก็จะกำหนดจุด แล้วก็บอกอนุญาต เมื่อเจ้าหน้าที่อธิษฐาน จักรรัตนะจึงจะทำงานในการควบคุมพลังงานแบบนั้นให้สำเร็จ ....

ผู้อ่านลองคิดดูเถิดว่า มีกิจการอะไรบ้างในโลกนี้ ที่พระราชาต้องประมวลเข้ามาแล้วจัดลำดับ เพื่อทำซอฟต์แวร์คือเปลี่ยนสิ่งเหล่านั้นเป็นอารมณ์จิต แล้วก็อัดอารมณ์จิตนั้นบรรจุไว้ในนิมิตแห่งรูปในจิต แล้วก็อธิษฐานดึงนิมิตนั้นขึ้นมาสู่ความปรากฏเป็นธาตุ4ขึ้นมา

จะเห็นว่า ต้องได้พิจารณามากมายหลายเรื่องทีเดียว ทั้งเรื่องของมนุษย์และสัตว์ดิรัจฉาน เป็นต้นว่า เมื่อใดราชสีห์เกิดสภาพคิดว่าต้องการกินอาหาร แล้วเกิดความพยายามว่าจะค้นหาอาหาร เมื่อนั้น อาหารตามที่ราชสีห์ปรารถนานั้นจงปรากฏในเบื้องหน้าราชสีห์นั้น เป็นต้น ... เมื่อราชสีห์ได้รับอาหารแล้ว ก็จะไม่ออกล่าเหยื่อ ก็จะไม่ฆ่าเนื้อ เนื้อก็จะอยู่เป็นสุข ไม่ถูกเบียดเบียน สัตว์ทั้งหลายล้วนได้อาหารตรงตามปรารถนา อย่างนี้เป็นต้น

นั่นคือ สภาพคิดทั้งหมดที่พระราชาต้องได้พิจารณานั่นล่ะว่า จะให้เกิดสิ่งใดขึ้นเมื่อเกิดสภาพคิดอย่างนี้ในสัตว์ตัวนี้ ผู้มีปกติคิดอย่างนี้ มีศีลอย่างนี้ ทำนองนี้ แล้วจงได้ความสำเร็จตามนี้ หรือว่าจงได้ความสำเร็จเป็นอีกอย่างหนึ่ง

และเมื่อพิจารณาแล้ว จะเห็นว่า ท้ายที่สุด ถึงจะมีเทคโนโลยีดีระดับนั้น สูงสุดระดับนั้น ก็ไม่อาจจะทำให้คนดีกลับชั่ว คนชั่วกลับดีได้ ไม่อาจทำคนไม่รู้ให้กลับรู้ ทำคนรู้ให้กลับไม่รู้ได้ ความเจริญหรือเสื่อมเฉพาะบุคคล เกิดขึ้นเป็นไปตามกรรมที่บุคคลนั้นๆกระทำแก่ตนเอง แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว สัตว์ทั้งหลายในยุคพระเจ้าจักรพรรดิ ค่อนข้างอ่อนโยน เอื้อเฟื้อ อารีย์ เมตตากัน โดยมาก หลังจากตายเพราะกายแตก จึงเข้าสู่สุคติโลกสวรรค์

ต่อไปจะได้กล่าวถึงกระบวนการสร้างจักรรัตนะ

จากคุณ : มังคละ [ ตอบ: 21 พ.ย. 47 - 12:11 ] ยังไม่แนะนำตัว | สมาชิกลานธรรมถาวร | ตอบ: 88 | ฝากข้อความ |

ความคิดเห็นที่ 23 : (มังคละ) อ้างอิง |

กระบวนการสร้างจักรรัตนะ

หลักการสร้างจักรรัตนะ กับหลักการน้อมนำขุมทรัพย์จักรพรรดินั้น ใช้หลักเดียวกัน คือ ขึ้นกับกำลังจิต แต่ ขุมทรัพย์จักรพรรดินั้น เกิดจากกำลังบุญของบุคคลคนเดียว ส่วนจักรรัตนะนั้น เกิดจากกำลังบุญของบุคคลนั้น+กำลังจิตมวลรวมของหมู่มนุษย์ ซึ่งนั่นก็หมายความว่า การประชุมพร้อมกันแห่งเหตุปัจจัยเพื่อความปรากฏของจักรรัตนะนั้น จะต้องได้อาศัยจิตรวมจากหมู่มนุษย์โดยมากด้วย ซึ่งกระแสจิตเหล่านั้นจะไหลเชื่อมโยงกันเป็นโครงข่ายพลังจิตขึ้น โดยมีความจดจ่อจิตจ้องรวมลงที่พระราชาผู้เป็นต้นเหตุให้พวกเขาเหล่านั้นได้ ดำรงชีวิตอย่างสุขสบาย

ทุกๆวัน พระราชาจะออกแสดงธรรม อบรมพสกนิกรของพระองค์ แล้วพิจารณาราชกิจในการบรรเทาทุกข์ให้แก่ประชาชน มีการอบรมสัมมาทิฏฐิให้ แล้วในช่วงวันอุโบสถ พระราชาจะหลีกเร้นอยู่แต่ผู้เดียว แล้วเพ่งธรรมอยู่ คือ ระลึกถึงอาการของจักรรัตนะ ระลึกถึงอาการมาของจักรรัตนะ ระลึกถึงการใช้งานจักรรัตนะ ซึ่งกระบวนการนี้คือการป้อนซอฟต์แวร์นั่นเอง แต่ โปรแกรมที่พิจารณานั้น จะยังไม่ได้ถูกอธิษฐานด้วยกลไกแห่งฤทธิ์ ตราบที่พระราชายังลงใจไม่ได้ว่า ซอฟต์แวร์ที่พิจารณานั้น เข้าถึงความบริบูรณ์ดีแล้ว ซึ่ง ที่จุดแห่งความบริบูรณ์อันนั้น เมื่อเข้าถึง จะรู้เฉพาะตนเอง จิตจะสงบรำงับลงจนถึงบาทแห่งฤทธิ์เอง

ในระหว่างที่บรรเทาทุกข์ให้ประชาชนนั้น กระแสเมตตาเพราะความกตัญญูรู้คุณในพระราชาของประชาชนในราชธานีเองและในต่าง ประเทศก็จะจดจ่อหลั่งไหลเข้าไปสู่พระราชาผู้มีคุณเช่นนั้น แล้วพระราชานั้นอาศัยกระแสจิตเหล่านั้นที่ประสานกันเองโดยอัตโนมัติ มาเป็นปัจจัยหนึ่งในการอธิษฐานถึงความปรากฏแห่งจักรรัตนะ

ด้วยอาการอย่างนี้ จักรรัตนะจึงมิได้สำเร็จมาจากการประกอบที่โรงงานแห่งใดแห่งหนึ่งบนพื้นดิน หรือบนเทวโลก หรือพรหมโลก หากแต่อุบัติขึ้นมาจากความประชุมพร้อมแห่งกำลังจิตที่กลมกลืนเป็นอันเดียว กันของมหาชน คือ มหาชนนั้น มีความรักความเคารพเป็นอันเดียวกันในพระราชาผู้มีพระคุณของเขานั่นเอง

ในช่วงที่ปรากฏจักรรัตนะนั้น วันเดือนปี การโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ และฤดูกาลจะเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ หนึ่งเดือนมี30วัน 12เดือนเป็น1ปี ทำนองนี้ แม้ฤดูร้อนฤดูหนาวฤดูฝนก็ปรากฏสม่ำเสมอ อันเป็นผลจากกระแสจิตมวลรวม ซึ่งไม่มีสูตรคณิตศาสตร์ที่จะใช้ในการคำนวณ เนื่องจากเป็นเรื่องของนามที่ยากจะหยั่งวัดปริมาณอารมณ์ได้

เพราะความที่จักรรัตนะสำเร็จได้มาจากกำลังแห่งกระแสจิตมวลรวม จักรรัตนะ จึงมีอานุภาพเป็นทิพย์และตอบสนองโดยตรงต่อกระแสจิตของสัตว์ จึงไม่จำเป็นต้องอาศัยการป้อนข้อมูลทางคีย์บอร์ดหรือกระแสไฟฟ้า

เพราะความที่จักรรัตนะ สำเร็จมาจากอธิษฐานของพระราชา จักรรัตนะจึงอยู่ใต้อำนาจจิตของพระราชาเท่านั้น ไม่ขึ้นแก่อำนาจจิตของบุคคลอื่น แต่ เพราะความที่ปัจจัยประกอบของจักรรัตนะมาจากกระแสจิตมวลรวมของสัตว์ พระเจ้าจักรพรรดิจึงสามารถแยกแยะขอบเขตอำนาจการใช้งานจักรรัตนะในบุคคลต่างๆ ได้

และเพราะความที่จักรรัตนะ ตกอยู่ใต้อำนาจจิตของพระราชาและสามารถจะกำหนดให้ตกอยู่ใต้อำนาจของบุคคลใดๆ ได้ตามขอบเขตกำหนด พระราชาจึงอบรมพระราชโอรสองค์โต ผู้จะสืบวงศ์จักรพรรดิให้รู้ถึงวิธีการเข้าควบคุมอำนาจจักรรัตนะได้ว่า กระแสจิตเท่าใด มีความระลึกรู้รอบคอบในการบริหารราชกิจเท่าไร จึงจะสามารถหมุนจักรรัตนะได้เหมือนอย่างที่พระเจ้าจักรพรรดิสามารถกระทำ และเมื่อพระราชโอรสองค์นั้นอบรมจิตตนเข้าถึงภูมินั้น ความรู้เฉพาะตนจะปรากฏแก่จิตพระราชโอรสเองว่าสามารถหมุนจักรได้แล้วโดยไม่ ต้องรอพระราชาอนุญาต เมื่อนั้น พระราชโอรสจะได้ชื่อว่า เป็นผู้เข้าถึงนามแห่ง ปริณายกรัตนะ ต่อแต่นั้น พระราชโอรสจะเข้าไปพบพระราชาเองโดยธรรม เพื่อขอแบ่งเบาพระราชกิจในการบริหารบริษัทเช่นกัน

ขุนคลังของพระเจ้าจักรพรรดิเอง ก็อบรมจิตตน จูนจิตเข้าไปตามคำแนะนำของพระราชา จนสามารถจะใช้อำนาจจักรรัตนะในการใช้อานุภาพแห่งตาทิพย์ในการเห็นทรัพย์ทั้ง ที่มีเจ้าของและไม่มีเจ้าของ ในที่ต่างๆ ทั้งในแผ่นดิน ในแม่น้ำ ในมหาสมุทร หรือในอากาศ ในดวงดาวในอวกาศ เป็นต้น .. นอกจากเห็นทรัพย์แล้ว ขุนคลังนั้นยังมีความสามารถในการใช้จักรรัตนะในการดึงธาตุต่างๆเหล่านั้นจาก ที่นั้นๆมาไว้ในที่ๆตนกำหนดไว้ได้ด้วย ... เมื่อขุนคลังอบรมตนได้ถึงขีดนั้น จะเกิดญาณแจ่มชัดแก่จิตเองว่า ตนสามารถ แล้วเขาก็จะเข้าไปพบพระราชา เพื่อประกาศความสามารถตนในการแบ่งเบาราชกิจเกี่ยวแก่เรื่องทรัพย์ทั้ง หลาย..... เมื่อนั้น่ขุนคลังจึงได้ชื่อว่า คหปติรัตนะ

เรื่องวิธีการอบรมจิตเพื่อความถึงฝั่งแห่งปริณายกรัตนะ คหปติรัตนะนั้น สำหรับผู้ใส่ใจอยากรู้ ก็สามารถหาอ่านเอาได้ในพระไตรปิฎก และข้อจำกัดคือ ปริณายกรัตนะ พัฒนามาจากพระราชโอรสองค์โต ผู้มีนิสัยใคร่ต่อสิกขา.... ส่วนขุนคลังแก้วนั้น เป็นขุนคลังของพระราชาเอง เป็นผู้มีปัญญา ฟังโอวาทพระราชา แทงตลอดในวาทะเหล่านั้นได้... นั่นก็คือ บุญของท่านเหล่านั้น เนื่องอยู่กับพระเจ้าจักรพรรดิ ไม่อาจปรากฏโดดๆได้ คล้ายอย่างตำแหน่งเอตทัคคะในศาสนาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ตำแหน่งเหล่านั้น เนื่องกับพระพุทธเจ้า การอบรมบารมีตนเพื่อถึงฝั่งแห่งบารมีนั้น จึงไม่อาจละการคลุกคลีกับเจ้าต้นบุญในเรื่องนั้นๆ เพราะความที่สิ่งเหล่านั้น มิอาจปรากฏสำเร็จได้ด้วยลำพังตน ไม่เหมือนพระเจ้าจักรพรรดิกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เป็นโจกหมู่ เป็นผู้นำหมู่ ไม่ต้องเดินตามหลังใครนอกจากธรรม

จากคุณ : มังคละ [ ตอบ: 21 พ.ย. 47 - 13:46 ] ยังไม่แนะนำตัว | สมาชิกลานธรรมถาวร | ตอบ: 88 | ฝากข้อความ |

ความคิดเห็นที่ 24 : (มังคละ) อ้างอิง |

ความเป็นอยู่ของมนุษย์หลังจากความปรากฏจักรรัตนะ

เมื่อจักรรัตนะปรากฏแล้ว ในช่วงใหม่ๆ หมู่มนุษย์บางส่วน จะยังไม่กล้าใช้บริการจักรรัตนะในการเดินทาง ในการผลิตสินค้า ในการนิรมิตอาหารประหนึ่งมนุษย์เป็นเทวดา เพราะความไม่รู้เกี่ยวแก่จักรรัตนะว่า สิ่งที่ปรากฏต่อหน้านั้น มันฝันไปหรือว่า มันเป็นความจริง อาหารที่นิรมิตขึ้น กินแล้วจะมีประโยชน์ต่อร่างกายเหมือนอาหารที่ได้มาจากการขวนขวายขุดพืชตัด ผักแร่เนื้อเถือหนังสัตว์มากินหรือไม่?

แต่ในราชธานีของพระเจ้าจักรพรรดินั้น ผู้คนใช้บริการจักรรัตนะโดยไม่นานนักก็ชิน เพราะในบ้านเมืองของพระราชาผู้เช่นนั้น สิ่งอัศจรรย์ปรากฏเป็นปกติ เป็นต้นว่า ต้นกัลปพฤกษ์ หรือว่าผีสางเทวดา เรื่องของฤาษีชีพราหมณ์ผู้ประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรม ฤทธิ์อภิญญา เหล่านี้ จะเป็นเรื่องปกติในบ้านเมืองนั้น

ทีนี้ เมื่อเทคโนโลยีจักรรัตนะปรากฏแพร่หลายไป มนุษย์โดยมากในโลกก็จะเริ่มใช้สอยจักรรัตนะในการเดินทาง ในการผลิตเครื่องใช้ ผักผลไม้และอาหารต่างๆ โดยไม่ต้องไปทำไร่ไถนาไม่ต้องทำมาค้าขายก็ได้ แต่ว่า แม้จะเป็นอย่างนั้น การหาเก็บผัก พืชผล ศึกษาสัตว์ ล่าสัตว์เหล่านี้ ก็ยังมีอยู่ในพวกมนุษย์บางเหล่า เพราะพวกที่คึกคะนองนั้น มีอยู่ในทุกกาลทุกสมัย เขาจะรู้สึกเหมือนกับว่า สิ่งที่ได้มาง่ายๆ มันไม่อร่อย ไม่เร้าใจ ทำนองนี้

ในตอนที่จักรรัตนะปรากฏแล้ว เรื่องการใช้การสัญจรทางรถยนต์ รถไฟ เครื่องบิน เรือ ก็จะหมดความจำเป็นลง แต่ก็ยังมีผู้ใช้ยานพาหนะเหล่านั้นอยู่ตามความนิยมแต่ละบุคคล จนเวลาผ่านไปหลายปี หลายสิบปี การพัฒนาเทคโนโลยีทางวัตถุที่ต้องใช้กำลังแรงกายแรงความคิดของมนุษย์เหมือน เทคโนโลยีตอนกลางนี้นั้น ก็จะขาดการสืบต่อ ทำให้คนโดยมากไม่ค่อยจะสนใจเรื่องราวเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์เชิงวัตถุนัก แต่จะหันไปศึกษสิ่งต่างๆ สสารต่างๆในมุมของวิทยาศาสตร์ทางจิต คือพิจารณาเรื่องจิตเป็นองค์ประกอบด้วย

หากว่าในยุคนั้นยังมีพระพุทธศาสนาอยู่ ผู้คนก็จะเกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัดในโลก บางส่วนก็จะตัดกิเลสเข้าถึงธรรมของพระศาสดาได้ง่าย

วันเวลาผ่านพ้นไป พระเจ้าจักรพรรดิผลัดองค์จาก1 ไป2 ไป3 4..5..6 ..7 ...8 ยิ่งเวลาผ่านไปนาน มนุษย์ก็ยิ่งขาดความรู้ความใส่ใจในเทคโนโลยีเดิม จนถึงวาระหนึ่ง คือ รุ่นลูกรุ่นหลานพระเจ้าจักรพรรดิ ไม่ตั้งอยู่ในธรรม ไม่อาจสืบวงศ์จักรพรรดิ ไม่อาจยังจักรรัตนะให้ปรากฏได้ ในเมื่อนั้น ความวุ่นวายจะกลับเกิดแก่โลก

เมื่อสิ้นพระเจ้าจักรพรรดิและขาดการสืบต่อเทคโนโลยีแห่งจักรรัตนะ ในยามนั้น ผู้คนปรากฏหนาแน่นไปในโลก เพราะความที่อาหารหาได้ง่าย .....แต่พอพระเจ้าจักรพรรดิสิ้นไปแล้ว การเดินทางไปมาหาสู่กันของมนุษย์ก็จะลำบากขึ้นนิดหน่อย เขาก็จะพากันกลับมาศึกษาเทคโนโลยีล่าสุดในทางวัตถุ แล้วก็ประดิษฐ์คิดค้นเพื่อนำกลับมาใช้งานดังเดิม

ในช่วงจากนั้นมา มนุษย์ก็จะเริ่มกลายออกจากความรู้ทางนามออกไป จิตใจก็หยาบขึ้น แต่ความรู้ทางวัตถุจะรู้กันทั่วไป เขามีความรู้ขนาดที่ว่า จะเอาอะไรผสมอะไรแล้วทำเป็นอาวุธได้ เมื่อความวุ่นวายถึงขีดที่สุด มนุษย์ก็จะเข่นฆ่ากันด้วยความรุ้อันนั้นเอง

เหมือนอย่างที่เราเคยได้ยินว่า เมื่อมนุษย์มีอายุขัย สิบปี เด็กอายุ5ปีจะแต่งงานและควรมีลูก เมื่อมนุษย์มีอายุขัยสิบปี จะมีสันดานดุจสัตว์ป่า สมสู่กันไม่เลือกว่าลูกว่าแม่ว่าพ่อหรือพี่น้อง และเต็มไปด้วยโทสะ จับอะไรขึ้นมาก็กลายเป็นอาวุธนำเข้าประหัตถ์ประหารกันสิ้นไปเสียโดยมาก เว้นแต่ในท่านผู้กลัว ที่คิดว่าใครอย่าทำร้ายเรา แม้เราก็อย่าทำร้ายใคร แล้วพากันหนีเข้าป่า ผ่านไปเจ็ดวัน เขาก็ฆ่ากันไปเสียเกือบสิ้น เมื่อสงครามใหญ่ของสัตว์มนุษย์ยุติลงในตอนนั้น พวกหลบเข้าป่าก็จะกลับมาสู่เมือง พบหน้ากันแล้วก็ดีใจว่า ท่านทั้งหลาย ท่านยังมีชีวิตอยู่หรือ? แล้วก็พากันปรึกษากัน ดำรงอยู่ในศีล จนอายุกลับเจริญขึ้น ทำนองนี้

ทั้งหมดทั้งสิ้น ก็เกิดมาจากความรู้ ความรู้ที่นำไปใช้ในทางผิด กับความรู้ที่นำไปใช้ในทางถูก

จากคุณ : มังคละ [ ตอบ: 21 พ.ย. 47 - 14:18 ] ยังไม่แนะนำตัว | สมาชิกลานธรรมถาวร | ตอบ: 88 | ฝากข้อความ |

ความคิดเห็นที่ 25 : (มังคละ) อ้างอิง |

ยุคพระเมตไตรยสัมพุทธเจ้า

ได้ยินว่ายุคพระเมตไตรยพุทธเจ้า ก่อนการอุบัติของพระพุทธองค์ จะมีการอุบัติของพระเจ้าจักรพรรดินามว่า สังขะ ก่อน และพระเมตไตรยโพธิสัตว์จะไปเกิดเป็นลูกของมหาปุโรหิตของพระเจ้าสังข จักรพรรดิ

เพราะอย่างนั้น ยุคของพระเมตไตรยสัมพุทธเจ้าจึงต่างจากยุคพระพุทธโคดมตรงที่ว่า พระเมตไตรยพุทธะอุบัติในยามที่มนุษย์มีเทคโนโลยีมากมายในด้านวัตถุ ส่วนยุคพระโคดมอุบัติในยามที่มนุษย์มีความรู้ไม่มากนักในเชิงวัตถุ

พระพุทธเจ้าทั้งหลาย สอนโลกด้วยการบัญญัติ รูปนาม ขันธ์ อายตนะ ธาตุ อินทรีย์ เหล่านี้ แต่ความต่างกันบ้างในการอธิบายธรรม ก็ต่างแต่ว่าฐานความรู้ของคนในยุคนั้นมีไปเกี่ยวแก่เรื่องใด

ในยุคพระเมตไตรยสัมพุทธเจ้า จะสามารถอธิบายธรรมชาติได้ในเชิงของธาตุที่ละเอียดขึ้น แต่ แม้จะอย่างนั้น ก็ยังไม่เกินกรอบแห่งธาตุขันธ์ อายตนะ อินทรีย์เหล่านี้ไปได้เลย มีลำดับการสอนพระสาวกคล้ายๆกัน แม้จะต่างทางปริมาณแห่งพระสาวกบ้างก็ตาม แต่ท้ายที่สุดก็รู้ที่สุดแห่งธรรมได้เช่นเดียวกัน

ในยุคพระเมตไตรยสัมพุทธเจ้านั้น มนุษย์จะปรากฏหนาแน่น เพราะเป็นยุคที่มีพระเจ้าจักรพรรดิ อาหารหาได้ง่าย คนก็เกิดมาก เกิดมามากอย่างไรพระเจ้าจักรพรรดิก็เลี้ยงไหว ขอเพียงให้มีที่อยู่ และอยู่อย่างสงบ ซึ่ง นั่นมีอยู่ในยุคจักรพรรดิ

แม้เทคโนโลยีทางการแพทย์และอื่นๆก็ถึงที่สุดในยุคจักรพรรดิ มีการปรับแต่งยีนของมนุษย์เพื่อปิดป้องโรคต่างๆได้ ทำให้มนุษย์ไม่มีโรคอย่างอื่น เว้นแต่โรคที่ไม่ได้เกิดจากพันธุกรรม คือ โรคชรา โรคหิว โรคอิ่ม โรคง่วงนอน เหล่านี้

เรื่องราวต่างๆที่เขียนมา มาถึงที่สุดแล้ว แม้จะไม่ได้กล่าวถึงเรื่องมณีรัตนะ เรื่องอิตถีรัตนะ เรื่องการน้อมนำลูกผู้มีบุญญาธิการมาเกิดด้วย เรื่องช้างแก้วม้าแก้ว เรื่องต้นกัลปพฤกษ์ เรื่องสิ่งแปลกๆต่างๆ เรื่องหลักการในการเดินทางด้วยวิธีเคลื่อนย้ายตำแหน่ง หรือย้ายโมเลกุล ตามแต่จะเรียก หรือจินตนาการเรื่องเกี่ยวแก่การเดินทางไปตามเส้นมิติแห่งกาลเวลา เพื่อข้ามเครื่องกั้นทางระยะทาง

และท้ายที่สุด การก้าวข้ามมิติแห่งกาลเวลา เพื่อพ้นไปจากกาลเวลา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดทั้งสิ้น พระพุทธเจ้ารู้ทั่วถึง หมดจด ไม่มีผู้อื่นที่จะแสดงธรรมได้ยิ่งไปกว่านี้แล้ว

การเขียนจินตนาการของผู้เขียนแบบบอดๆ ฟั่นๆเฝือๆนี้ เทียบไม่ได้เลยกับพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี้เป็นแต่เพียงความคะนองในบางขณะของผู้เขียนเท่านั้น

ในกระทู้นี้จะได้หยุดการเขียนลงแล้ว เพราะเบื่อหน่ายในการเขียนนี้เหมือนกัน มันเหม็นคลุ้งเหมือนมูตรแลคูถ

หากว่าสิ่งใดในนี้ จะเป็นประโยชน์แก่จินตนาการของท่านผู้อ่าน ท่านใดจะหยิบยกไปใช้ประโยชน์ (หากใช้ได้) ผู้เขียนก็อนุญาตไว้เสียโดยไม่ขีดคั่น ใช้ได้เลยตามประสงค์ จะนำไปตัดต่อแต่งเติมอย่างไรก็ตาม เพราะสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ไม่ใช่ของผู้เขียน ไม่ใช่ตัวตนของผู้เขียน เป็นสิ่งที่ปรากฏในธรรมชาติ ผู้เขียนมิได้หวงแหนสักนิดนึง

เอาไว้เท่านี้ล่ะนะครับ

จากคุณ : มังคละ [ ตอบ: 21 พ.ย. 47 - 14:33 ] ยังไม่แนะนำตัว | สมาชิกลานธรรมถาวร | ตอบ: 88 | ฝากข้อความ |

คัดลอกมาจาก
http://larndham.net/index.php?showtopic=13331&st=39

สาส์นสำคัญจากหลวงปู่เทพโลกอุดร

1 ความคิดเห็น

สาส์นสำคัญจากหลวงปู่เทพโลกอุดร

 มวล มนุษย์ ภัยพิบัติ น้ำจะท่วมโลก แผ่นดินจะไหว มนุษย์ที่ดีถึงจะรอด หมู่ชนควรทำดี ให้มนุษย์มีการปฏิบัติ มวลชนทุกหมู่เหล่าต้องปฏิบัติ พระเจ้าผู้สร้างโลก มองเห็นมวลมนุษย์ กำลังจะทุกข์ยาก ล้มหายตายจาก เวลานั้นใกล้เข้ามา มนุษย์เท่านั้น ที่จะช่วยตัวเองได้ จงทำตัวเองให้ดี จงมีจิตที่ดี จึงจะรอดพ้น ไม่มีใครช่วยใครได้ แผ่นดินจะกลืนกิน มิรู้สิ้นชีวิตเท่าใด ผู้ที่จะรอดปลอดภัย ต้องอยู่ในศีลธรรม

พึง รักษาชีวี อย่าคิดว่าตายแล้วดีกว่าอยู่ ต้องอดทน ผู้รอดจากภัยพิบัติ คือ ผู้ที่ต้องอยู่ต่อ เป็นผู้ที่ต้องช่วยกัน ปรับสภาพจากเหตุการณ์ ที่ผ่านพ้นแต่กว่าจะถึงตอนนั้น มนุษย์ก็แสนสาหัส ทุกข์ยากอดอยาก ยากไร้ปางตาย ไร้ความทรงจำก็มี เพราะขาด การเตรียม ด้วยความไม่รู้ มนุษย์ต้องพบ วิบากกรรมชีวิต ทุกชีวิตที่อาศัย อยู่บนโลกลำบาก มนุษย์เป็นผู้ทำทุกสิ่งด้วยมือ ของมนุษย์ทั้งสิ้น ไม่มี ไม่ใช่ ใครที่ไหนทำ เวลาใกล้เข้ามา ทุกขณะความตาย กำลังเข้ามาใกล้ตัว

ก่อน ถึงเวลา ก่อนถึงวันนั้น มนุษย์ผู้ซึ่งกระทำการทำลาย มนุษย์ด้วยกัน มันต้องพินาศเช่นกัน การกระทำของมันผู้นี้ ทำให้มนุษย์ จำนวนมากมายสิ้นชีวิต คล้ายใบไม้ร่วง มันหวังว่าจะได้เป็นใหญ่ ในแผ่นดินทั่วโลก แต่แล้วความหายนะ เข้ามาครองโลกแทน ความพินาศเต็มไปหมด ความหวังย่อยยับ ปฐพีเต็มไปด้วยเลือด ศพกลาดเกลื่อนเลือดทาแผ่นดิน ชีวิตสูญสิ้น สิ้นไร้ผู้คน มีแต่ความตาย ที่เห็นชัดความดับสูญครั้งใหญ่ ของมวลมนุษย์และสัตว์ในโลก

ความ ตายเป็นผู้ชนะ ผู้แพ้คือผู้กระทำความชั่วร้าย ผู้ที่ตายทั้งหมดเป็นผู้โชคดีกระนั้นหรือ ผู้ที่รอดเป็นผู้โชคดีกระนั้นหรือ มิใช่ทุกอย่างคือ กฎแห่งกรรม วิถีแห่งกรรม มาจากที่ใด ทำไม มวลมนุษย์จึงต้องรับความดับสูญ เพราะชีวิตกับความตายเป็นสิ่งที่คู่กัน ไม่อาจหลีกเลี่ยง ไม่มีทางหนีพ้น โอกาสผู้ที่รอด หมายถึง ผู้อยู่ต่อ เพื่ออนาคตโลก ผู้ทำลายดับสิ้นสูญ โลกร้อนระอุ มีแต่ไฟ เถ้าถ่านท่วมท้นแผ่นดิน น้ำเป็นพิษ สารเคมีท่วมท้น เชื้อโรคสารพัดชนิด กัดกินผู้คน ผู้ที่รอดแสนสาหัส ทุกข์ยากรอความตาย

ผู้ มีบุญจะออกมาช่วย รักษาชีวิต ผู้คนมากมาย จะรอดชีวิตจากโรคร้าย การรักษา ไม่ต้องใช้ยา เป็นวิชา ไม่มีใครรู้จัก คนผู้นี้ รักษาผู้คน ไม่หวังสิ่งใด เพราะเป็นหน้าที่ก่อนเกิด การรักษา ไม่ต้องมาพบตัวผู้ป่วยอยู่แห่งใด รักษาได้ ไม่ต้องมา ถึงเวลาไม่ต้องค้นหา โรคจะหายเอง

เศรษฐกิจตกต่ำ ต้องการผู้แก้ไข ทั่วโลกวุ่นวาย ขาดอาหาร น้ำตาเนืองนอง ศพลอยฟูฟ่อง เพราะน้ำหลากมา น้ำตาไหลริน ไม่มีใครได้กินอิ่ม

มี แต่ความทุกข์ ความเศร้าโศกครอบคลุม คนทั่วโลกไม่ต่างกัน ทุกที่มีแต่ความเศร้า การสูญเสีย ของมวลมนุษย์ แต่ก็มีบางประเทศ ฟื้นตัวเร็ว การฟื้นตัวของบางประเทศรวดเร็ว เป็นประเทศเล็กๆ ประเทศที่เคยยิ่งใหญ่สูญเสียหนัก การพัฒนา เริ่มขึ้นอีกครั้ง แต่ช้า ทุกอย่างจึงกลับกัน ประเทศที่เคยเป็นมหาอำนาจ กลายเป็นผู้ยากไร้ แทบไม่น่าเชื่อ เคยมีเงินเหลือเฟือ ต้องฝืดเคือง ยิ่งกว่ากินเกลือ โลกไม่พ้นวิกฤต ความทุกข์ยังครองเมือง

ผู้ อ่อนแอจะไม่รอด อากาศหนาว หิมะถล่ม น้ำแข็งละลาย น้ำป่าหลาก ความทุกข์ยากทับถม คนตายเพราะความหนาวทุกข์ทับถมทวี กว่าจะรู้ ความดื้อรั้น ความเชื่อยาก ทำให้มนุษย์ ได้รับบทเรียน แต่ไม่เข้าใจ เพราะความตายมาเร็วเกินไป ไม่ทันรู้ตัว มนุษย์ไมทันได้คิด ไม่มีโอกาส เข้าใจ ทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะไม่บรรลุธรรม ต้องมีชะตากรรม เวียนว่ายตายเกิด อยู่เช่นนี้ ทุกชีวี ผู้รู้เหตุการณ์ รอเวลามีน้อย ความไม่แน่นอน

ความไม่มั่นใจ คิดว่าไม่เกิด จึงทำให้ การเตรียมตัวไม่พร้อม

อาหาร ไม่พอ น้ำดื่มไม่มี หมอก็ป่วย คนไข้มากมาย โรคที่เป็นก็หายยาก พุพองทั่วร่างกาย โรคร้ายทั้งสิ้น เกาะกินร่างกายกัมมันตภาพรังสี สารเคมี เชื้อโรคมากมี ทำร้ายร่างกาย อาหารเป็นพิษ ยาปฏิชีวนะ ช่วยไม่ได้ โรคระบาด ทุกหย่อมหญ้า ชีวิตร่วงเหมือนผักปลา ไม่มีเวลา มีแต่ชีวิตที่สิ้นไป กว่าเถ้าจะมอด กว่าน้ำจะลด กว่าเชื้อโรคจะหมดสิ้น ชีวิตสิ้นไปไม่รู้เท่าไหร่ ความอดทนต้องสูงสุด ไม่มีเสียงนกร้อง มีแต่เสียงโอดครวญ ความเจ็บปวด ครองเมือง

การครั้งนี้ กว่าจะสิ้นสุด ไม่มีใครล่วงรู้ ความไม่แน่นอน เที่ยงที่สุด ทุกชีวิต กว่าจะผ่านพ้น เหตุการณ์ สุดแสนลำบาก นอกจาก ผู้คนจำนวนหนึ่งหยั่งรู้ เตรียมรับสถานการณ์ ผู้คนเหล่านั้น มีโอกาส เป็นผู้อยู่รอด ชาวโลก กว่าครึ่งโลก ที่ล้มหายตายจาก ล้วนแล้วแต่ กรรม ฟ้าจะใสอีกครั้ง เมื่อฤดูฝนร่วงหล่น ละลายสิ่งต่างๆ ฝนจะชุ่มโชก สิ่งที่ร้ายจะกลายเป็นดี แต่ก็ต้องใช้เวลา พลิกฟื้นขึ้นมาใหม่

ช่วย กันทำนุบำรุงรักษาทุกประเทศต้องพัฒนา เหมือนยุคเก่าย้อนมา แต่เจริญรุ่งเรือง กลายเป็นโลกยุคใหม่ วิทยาศาสตร์ล้ำหน้า ชาวประชาหน้าใส คนที่เหลือจากเหตุการณ์ มีความคิดเปลี่ยนไป ไม่มีแล้วความคิดเก่าๆ ทุกอย่างเปลี่ยนไป แม้แต่ความคิดของคน เปลี่ยนแปลงไปหมด ลดทิฐิ จิตใจดี มีเมตตาช่วยเหลือเกื้อกูลกัน การแก่งแย่งชิงดี แทบสิ้นไป มนุษย์ จิตใจร้ายยังมีอยู่ ความเมตตาค้ำจุนโลก ทุกข์สร่างโศรก

ผู้ มีเมตตาธรรมปรากฏ เพื่อนนุษย์ีช่วยเหลือกัน บำรุงรักษา ผู้มีจิตเมตตา เปิดโฉมหน้า แต่ไม่ปรากฏตัว ได้ยินแต่ข่าว ร่ำลือไปทั่ว เพื่อนมนุษย์ ทั่วโลก ต่างยินดีชื่นชม เหมือนพระเจ้ามาโปรด คนทั่วโลก ต้องการหมอรักษา หาหมอ ไม่ได้ โรคที่ระบาด ไม่มีในตำรา และไม่มียา แก้โรคที่ระบาด ความตาย มาเยือน ชีวิตมนุษย์ ได้สำนึก กว่าจะรู้ตัว เกือบจะรู้ตัว เกือบจะตาย ผู้ที่ตายไม่ได้รู้ตัว สำนึกในบาป

คน ที่เหลือ ล้วนคิดได้ ความตาย ผ่านพ้นไป ผู้มีบุญ ช่วยเหลือผู้อื่น ไม่กลัวเหนื่อย ไร้การแบ่งชั้น ทุกคนเสมอภาค ความดี ความพยายาม ผู้สร้างโลก ไม่ปล่อยให้ มนุษย์ ทุกข์ทรมานสู้กับความตาย นิมิตรหมายใหม่ ประกอบกรรมดี ละเว้นความชั่ว รักษาความดี อยู่ในศีลธรรม ตั้งมั่นในการปฏิบัติ อย่าเห็นแก่ตัว ทางสายกลาง ช่วยเหลือผู้อื่น จงมองตนเอง อย่ามัวรอเวลา ความว่าง (สุญญตา) จิตตั้งมั่น ปล่อยใจวาง จิตเป็นหนึ่ง มีสติ

คน ที่สามารถทำได้เช่นนี้ ทางสายใหม่ คือการหลุดพ้น ผู้ที่ทำได้ ไม่ต้องมาเกิด ตามวัฎจักร ทางสายนี้มีมานาน ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ผู้ที่รู้ และเข้าใจ พยายามศึกษา ผิดบ้างถูกบ้าง เพื่อหาทางหลุดพ้น จากกิเลส พระเจ้าเบื้องบน เฝ้ามองดู ใครทำอะไร ไม่รอดพ้นสายตา การกระทำ ทุกสิ่งทุกอย่าง อยู่ในสายตา มีการบันทึก ผู้ที่รอดตาย ต้องมีจิตใจเข้มแข็ง อดทนต่อสถานการณ์ ไม่ใช่ง่าย สิ่งที่เลวร้าย มนุษย์ ต้องอดทนให้ได้

กาล เวลาผ่านไป ผลที่ได้รับต่างทุกข์ถ้วนหน้า จิตใจสำคัญที่สุด เมื่อเวลานั้นมาถึง สภาวะคับขัน ผู้เข้มแข็ง จะรอดพ้น ความอดอยาก ความพลัดพราก คืบคลานเข้ามาความลำเค็ญ ผู้คนโอดครวญ ชีวิตทุกผู้ทุกนาม รอความหวัง อย่างสิ้นหวัง แต่ก็รอ สภาวะเช่นนั้น ใครทนได้ ยอดคน ชีวิตมืดมนต์ ยิ่งกว่าความมืด หนทาง มองไม่เห็น

สิ่ง ลี้ลับ เริ่มปรากฏ ผู้คนแตกตื่น ได้ยินเรื่องราว อันมหัศจรรย์ ความมหัศจรรย์นั้น ไม่เคยปรากฏ ตั้งแต่สมัยพุทธกาล มาสู่ยุคปัจจุบัน มนุษย์จะได้พบ สิ่งมหัศจรรย์ ในยุคนี้ ผู้ซึ่งไม่เคยได้พบเห็น ความมหัศจรรย์ จะมีโอกาส ได้เห็น

รวบรวมโดยคุณ มงคล กริชติทายาวุธ
ประธานชมรมศาสนาและการกุศล
สารชมรมศาสนาและการกุศล

***************************************************************************

SAMBALA สมาชิก

ผม เชื่อตามที่หลวงปู่บอกครับ เชื่อมานานแล้ว เดี๋ยวทุกคนก็จะได้ประจักษ์แก่สายตา เมื่อถึงเวลานั้นก็คิดกันเอาเองนะครับว่าควรจะทำอย่างไร ขออนุโมทนา

7-06-2011, 09:27:55 AM

nontayan สมาชิก

หลวง ปู่ใหญ่เทพโลกอุดร ได้สื่อผ่านมาทางพระอาจารย์ปรีชาสายศิษย์ของท่าน มาบอกผมว่า ในบริเวณระหว่างหุบเขาในอำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ เป็นดินแดนของมหานรกขุมใหญ่ ถ้าไม่จำเป็นอย่าได้เข้าไปในบริเวณนั้น ท่านแจ้งมาเมื่อเกือบสองเดือนที่แล้วครับ ผมไม่เคยไปที่นั่น จึงไม่ทราบว่าอยู่ตรงส่วนไหนของชัยภูมิ ลองพิจารณากันดูนะครับ ครูอาจารย์หลายท่านก็กล่าวมาเช่นนั้น

7-06-2011, 10:36:44 AM

ที่มา http://board.plungjai.com/index.php?topic=612.0
ส่วนแรก ส่วน read more

วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2554

อาหารช่วยน้ำท่วม กินอย่างไรให้ปลอดภัย

0 ความคิดเห็น

อาหารช่วยน้ำท่วม กินอย่างไรให้ปลอดภัย

 เหตุการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ส่งผลให้เกิดความเดือดร้อนกับคนไทยอย่างมากมาย พื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมก็แผ่วงกว้างขึ้นเรื่อยๆ แต่คนไทยเราก็ยังคงมีน้ำจิตน้ำใจให้แก่กัน ด้วยการบริจาคของที่จำเป็นให้แก่ผู้ประสบภัย โดยเฉพาะอาหารการกินซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่สุด ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุขก็ออกมาให้คำแนะนำในเรื่องของอาหารที่จะส่งไปช่วย ผู้ประสบภัย ดังนี้

หากเป็นไปได้ก็ควรประกอบอาหารแล้วนำไปแจกจ่ายในจุดอพยพจะเป็นการดีที่สุด เนื่องจากจะได้กินอาหารที่สุก ใหม่ สะอาด ส่วนการนำอาหารปรุงสำเร็จแล้วใส่กล่องเพื่อนำไปแจกจ่ายในจุดอื่นๆ ควรแยกข้าวและกับข้าวออกจากกัน อาจจะแยกกับข้าวใส่ถุงพลาสติกไว้ต่างหาก เพื่อไม่ให้อาหารเสียเร็ว และไม่ควรเก็บอาหารปรุงสำเร็จไว้นานเกิน 4-6 ชั่วโมง

ส่วนกับข้าวนั้นควรเลือกอาหารที่ไม่บูดง่าย ไม่ใส่กะทิ หรืออาจจะเลือกเป็นอาหารแห้ง เช่น ไข่ต้ม ไข่เค็ม น้ำพริกต่างๆ กุนเชียงทอด หมูทอด หมูแผ่น ข้าวเหนียวนึ่ง ขนมปังกรอบ เป็นต้น เพราะจะเก็บไว้กินได้หลายวัน ไม่เน่าเสียง่าย ส่วนขนมปังทั่วไปนั้นควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากเป็นอาหารที่มีอายุสั้นและขึ้นราง่าย หากกินโดยไม่ได้สังเกตราก่อนก็อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้

นอกจากนี้ อาจจะแจกผลไม้ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น กล้วย ส้ม ฝรั่ง ชมพู่ หรือผลไม้ที่ไม่เน่าเสียง่าย รวมไปถึงนมกล่องยูเอชที จะช่วยให้ผู้ประสบภัยได้รับสารอาหาร วิตามิน และเกลือแร่ต่างๆ ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันโรค ไม่ให้เจ็บป่วยง่าย

สำหรับอาหารกระป๋อง เมื่อผู้ประสบภัยได้รับอาหารกระป๋องมาแล้วก็ควรดูวันผลิต วันหมดอายุ สังเกตสภาพของกระป๋องให้อยู่ในสภาพดี ไม่บุบ ไม่ยุบ บวม หรือพอง และเมื่อเปิดกระป๋องแล้วก็ให้สังเกตอาหารภายในกระป๋องว่าอยู่ในสภาพปกติตาม ที่ควรจะเป็นหรือไม่ มีกลิ่น มีสี หรือรสชาติที่แปลกไปหรือไม่

เรื่องอื่นๆ เช่น น้ำดื่ม ควรดื่มน้ำที่สะอาด หรือผ่านการต้มให้เดือดมาแล้ว นอกจากนี้ก็ควรดูแลสุขภาพกายและจิตใจของตนเองด้วย เพื่อป้องกันการเกิดโรคภัยจากน้ำท่วม

สุดท้าย “108 เคล็ดกิน” ขอส่งกำลังใจให้กับผู้ประสบภัยทุกคนให้ผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้ไปได้อย่างปลอดภัย

ที่มา http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9540000128165

รวมภาพวิดีโอ น้ำท่วมปี 54

0 ความคิดเห็น

       วันนี้ผมได้รวบรวมภาพวีดีโอ ภัยน้ำท่วมปี 54 มาให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่ตามบล็อกเตือนภัยพิบัติโลก
ได้เห็นสถานการณ์ของภัยพับิติที่เกิดจากภัยน้ำท่วมของปีนี้ ซึ่งถือว่าหนักกว่าหลายๆ ปี ที่ผ่านมา เพื่อเป็นสิ่งเตือนใจให้เราทุกๆ คน ได้ตระหนักถึงภัยธรรมชาติ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต และเราก็ต้องมีการเตรียมตัวรับมือกับภัยพิบ้ติต่างๆ ให้พร้อม ก่อนที่ภัยพิบัติเหล่านั้น จะมาถึงตัวเราโดยที่เรามิทันได้ตั้งตัวเฉกเช่นปีนี้ เราคงต้องนำเอาบทเรียนของปีนี้ มาคิดหรือพินิจดูว่า เราจะต้องเตรียมตัวอย่างไร ถึงจะสามารถผ่านพ้นภัยพิบัติเหล่านี้ไปได้





















การเตรียมตัวรับมือกับภัยทางธรรมชาติครั้งใหญ่

ภาพน้ำท่วมปี 54

เตรียมตัวรับมือกับภัยทางธรรมชาติครั้งใหญ่

รวบรวมข้อมูลเตรียมตัวรับมือกับภัยพิบัติเหตุการณ์ต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นกำลังใกล้เข้ามาเป็นลำดับครับ ผมจะขอขึ้นกระทู้ใหม่เรื่องการเตรียมตัวรับมือกับภัยพิบัติในทุกรูปแบบที่ คาดว่าจะเกิดขึ้น โดยอยากจะให้พวกเราช่วยกันแปะข้อมูลจากกระทู้ต่างๆ ที่กระจัดกระจายมารวบรวมไว้ที่เดียวครับ เพื่อง่ายในการสืบค้น จากนั้นท่านที่อยากเก็บไว้เป็นข้อมูลในการช่วยตัวเองและคนอื่นๆ เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นก็จงพิมพ์ลงในกระดาษเพื่อเผยแพร่ครับ

ภัยธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

1. เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่
2. พายุถล่ม
3. แผ่นดินแยก และแผ่นดินไหว
4. ภูเขาไฟระเบิด
(จังหวัดทางภาคกลาง 2 ลูก, ภาคเหนือตอนล่าง 3 ลูก, อีกทั้งที่จังหวัดราชบุรี / น่าน / แพร่ / อ.ร้องกวาง )
5. คลื่นยักษ์จากทะเล
6. โรคระบาดที่สุดจะเยียวยา ได้แก่ VIRUSTERIA , อหิวาตกโรคสายพันธุ์ใหม่ ผู้ได้รับเชื้อจะเสียชีวิตทันที ภายใน 6 วัน
7. คลื่นเสียงที่รุนแรง ตั้งแต่เกิดมาในชีวิตจะไม่เคยได้ยินเสียงที่ดังขนาดนั้นมาก่อน
8. อดอยากขาดแคลนอาหาร

การเตรียมตัว เตรียมปัจจัยเพื่อตนเองและสมาชิกในครอบครัว

1. เตรียมอาหารและน้ำดื่มไว้ที่บ้านอย่างน้อย 3 - 6 เดือน
2. เครื่องนุ่งห่มเพื่อความอบอุ่นของร่างกาย
ได้แก่เสื้อผ้า กระเป๋าน้ำร้อน ผ้าห่ม ฯลฯ เพราะในช่วงเวลานั้นอากาศจะหนาวเย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจ
3. เครื่องใช้ที่จำเป็น
4. ที่อยู่อาศัย
5. ยารักษาโรค
6. ด่างทับทิมและคาราไมล์ (จำเป็นมาก)
ห้ามกินอาหารที่ไม่ได้ล้างด้วยด่างทับทิม เพราะจะมีทั้งเชื้อโรคและสารกัมมันตรังสี
ส่วนคาราไมล์ จะมีไว้รักษาโรคทางผิวหนังที่ดูเหมือนจะยากต่อการรักษา แต่เมื่อทาคาราไมล์แล้ว จะหายได้อย่างน่าอัศจรรย์
7. ยานพาหนะ เช่น เรือ เสื้อชูชีพ
8. เครื่องช่วยชีวิต
9. แสงสว่าง เช่นเทียน ตะเกียงพายุ (เวลานั้น ท้องฟ้าจะมืดมิด 7 วัน เท่ากับ 1 ราตรี และจะมืดมิดรวม 7 ราตรี หรือ 49 วัน ไฟฟ้าจะดับทั่วโลก)
10. เตรียมสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง

การดูแลตัวเองในช่วงเวลาวิกฤติ

1. ห้ามออกนอกบ้านโดยเด็ดขาด ใครมาเคาะประตูบ้านก็ห้ามเปิด ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นญาติสนิท หรือคนที่เรารู้จักก็ตาม
2. ห้ามตากฝน เพราะในฝนจะมีพิษ ทั้งเชื้อโรค สารเคมีที่มนุษย์สร้าง
3. ห้ามลุยน้ำหรือแช่น้ำนานๆ แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องใช้ด่างทับทิมล้างทุกครั้ง
4. ห้ามเปิดประตูต้อนรับผู้อื่น เพราะช่วงเวลานั้น ประตูมิติของโลกทั้ง 3 ภพจะถูกเปิดเป็นครั้งแรก ผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องผีสาง จิตวิญญาณก็จะได้เห็น คนที่มาเยือน อาจเป็นผีเปรต ผีโขมด ที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรของเราจำแลงมาก็เป็นได้ และห้ามอยากรู้อยากเห็นโดยเด็ดขาด
5. ห้ามกินเนื้อสัตว์ทุกชนิด
6. ห้ามกินผักที่ยังไม่ได้แช่ด่างทับทิม
7. ฝึกการกินน้อย ถ่ายน้อย
8. ระวังอากาศที่หนาวเย็น
9. ระวังสัตว์ร้าย สัตว์มีพิษ เช่น งูพิษ จระเข้
10. ห้ามอยู่ตึกสูงเกิน 3 ชั้น เพราะตึกสูงเกิน 3 ชั้น จะพังทลายราบเป็นหน้ากลอง

การเตรียมทางจิตวิญญาณ

1. ชำระกรรมให้เบาบาง ทำได้โดย
1.1 หยุดโลภ โกรธ หลง
1.2 ทำจิตให้สงบ เบิกบาน เพราะวันนั้นจะมีผู้ที่เส้นโลหิตในสมองแตก เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เพราะเสียงที่ดังกึกก้องไปกระตุ้นเส้นเลือดในสมองให้แตก ดังนั้นต้องปล่อยวาง ทำจิตให้เป็นบวก จะช่วยได้มาก
2. มีสำนึกทางจิตวิญญาณ
3. ฝึกการละวาง
4. มีสติรู้ตัวตลอดเวลา
5. ฝึกการทำโมฆกรรม ขออภัยต่อเจ้ากรรมนายเวร หรือผู้ที่เราล่วงละเมิด

การดูแลแก่นแท้ยามมีภัย

1. ได้ยินเสียงใด ให้ละวางเสียงนั้น / รู้เห็นสิ่งใด ให้ละวางสิ่งนั้น
ต้องไม่รับรู้ ไม่รับเห็น ไม่รู้ ไม่ชี้ ไม่ว่าจะได้ยินเสียงคนข้างบ้านร้องเพราะกำลังจะตาย หรือได้ยินเสียงใดที่น่าหวาดกลัว ต้องได้ยินแล้วผ่านเลยไป
ถ้าหากละวางไม่ได้ จะเกิดอาการ “ตายก่อนตาย” (รู้ว่าตนเองจะต้องตายแน่ๆ หรือการตายทั้งเป็น)
2. ยอมรับให้ได้ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ต้องมีสติตลอดเวลา
3. อย่าอยู่นิ่งเฉย เพราะจะทำให้เกิดความกลัวมากขึ้น ควรหากิจกรรมทำ เช่น อ่านหนังสือธรรมะ เพื่อให้จิตเป็นบวก เกิดความอิ่มเอิบ
4. สังเกตธรรมชาติก่อนนาทีวิกฤติจะเกิดขึ้น

ก่อนเกิดภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ (ระยะ 2 ) จะมีลางบอกเหตุดังนี้

1. ท้องฟ้ามืดมิดผิดปกติ
2. ใบไม้จะพลิกคว่ำพลิกหงายแลดูหดหู่
3. สัตว์ทั้งหลายจะไม่ออกมาปรากฏกายให้เห็น แต่ถ้ามีสัตว์เลี้ยงอยู่ในบ้านจะแลเห็นมันวิ่งลุกลี้ลุกลนผิดปกติ หรือบางตัวจะนอนนิ่งมีน้ำตาซึม


( คัดลอกมาจาก หนังสือพระโอวาทแห่งองค์จิตจักรวาล ครั้งที่ 17 เรื่องพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ สื่อการถ่ายทอดพระโอวาทโดย อ.ปริญญา ตันสกุล MBA.,M.S. PARINYA TANSAKUL ) 

รายงานแผ่นดินไหวทั่วโลก




รายงานแผ่นดินไหวภายในประเทศและใกล้เคียง